II-I
แสงขมุกขมัวกับเสียงรื่นเริงนั้นถูกทิ้งห่างไปด้านหลังของชาวซิมเมอเรียน เขาทิ้งเสื้อคลุมขาดๆไปแล้วและเดินฝ่าราตรีไปในสภาพเกือบเปลือยที่มีเพียงเตี่ยวและรองเท้ารัดสูง เขาเคลื่อนไหวด้วยความนิ่มนวลของพยัคฆ์ กล้ามเนื้อแข็งกล้าเป็นลอนใต้ผิวสีน้ำตาลนั่น
เขาได้เข้ามายังส่วนของเมืองที่สงวนไว้ให้วิหารต่างๆแล้ว รอบกายเขาส่องประกายระยิบระยับสีขาวด้วยแสงดาว—เสาหินอ่อนขาวราวหิมะกับโดมทองและซุ้มเงิน หมู่วิหารแห่งเทพประหลาดนับพันของซามอรา เขาไม่คิดเรื่องพวกนั้นให้ปวดหัว เขารู้ว่าศาสนาของซามอเรียนนั้นก็เหมือนกับทุกสิ่งของชาวเจริญที่ลงหลักปักรากมานาน คือซับซ้อนยุ่งเหยิง และได้สูญเสียแก่นแท้ดั้งเดิมของมันไปท่ามกลางวงกตแห่งบทสวดกับพิธีกรรมแล้ว เขาเคยนั่งสมาธิเป็นชั่วโมงในสวนของพวกนักปรัชญา ฟังที่พวกนักศาสนศาสตร์กับปรมาจารย์ถกเถียงกัน แล้วก็จากมาด้วยความมึนงงสับสน แน่ใจได้เพียงอย่างเดียวคือพวกนั้นล้วนแต่มีอะไรเพี้ยนในหัว
ทวยเทพของเขานั้นเรียบง่ายและเข้าใจได้ ครอมเป็นหัวหน้าของพวกนั้นและเขาอาศัยอยู่ในมหาภูผา ที่ซึ่งเขาส่งความหายนะและความตายออกมา การเรียกหาครอมนั้นไร้ประโยชน์ เพราะเขาเป็นเทพที่ป่าเถื่อน มืดมน และชิงชังผู้อ่อนแอ แต่เขาได้มอบความกล้าหาญแด่บุรุษในตอนที่เกิดมา กับจิตใจและกำลังที่ใช้สังหารศัตรู ซึ่งในความคิดของซิมเมอเรียนนั้น เป็นทั้งหมดที่ควรคาดหวังจากเทพทั้งปวง
ฝีเท้าของเขาไร้ซึ่งสุ้มเสียงบนทางที่ปูแวววาว ไม่มียามผ่านมา เพราะแม้แต่เหล่าหัวขโมยแห่งมาอุลก็หนีห่างจากวิหารเหล่านี้ ที่ซึ่งรู้กันว่ามีความวิบัติอันแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับผู้ที่ล่วงละเมิดมัน ที่เห็นอยู่เบื้องหน้าของเขานั้น หอคอยคชสารปรากฏรางๆอยู่กับท้องฟ้า เขารำพึงสงสัยถึงสาเหตุที่มันได้ชื่อนั้น ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดรู้ เขาไม่เห็นเห็นช้างมาก่อน แต่ก็ทราบคร่าวๆว่ามันเป็นสัตว์ที่ใหญ่โต มีหางทั้งข้างหน้าและข้างหลัง นั่นเป็นสิ่งที่ชาวเชมิทพเนจรเคยบอกเขา สาบานว่าเขาเคยเห็นอสุรกายนั้นนับพันในประเทศแห่งชาวไฮร์คาเนียน แต่ใครๆก็รู้ว่าพวกเชมนั้นช่างโป้ปด ถึงอย่างไร ในซามอราก็ไม่มีช้าง
ตัวหอคอยนั้นเป็นประกายเย็นชาอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ท่ามกลางแสงตะวันนั้นมันสว่างไสวจนน้อยคนจะทนแสงของมันได้ และผู้คนก็บอกว่ามันทำจากเงิน มันโค้งมน เป็นทรงกระบอกเรียวๆที่สมบูรณ์แบบ สูงหนึ่งร้อยกับห้าสิบฟิต และขอบริมของมันก็เป็นประกายระยิบระยับกับแสงดาวด้วยเพชรพลอยขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่ หอคอยนั้นตระหง่านอยู่ท่ามกลางระลอกคลื่นของพรรณไม้ประหลาดในสวนที่ยกสูงขึ้นจากชั้นดินของเมือง กำแพงสูงรายล้อมสวนนั้น และนอกกำแพงก็คือชั้นที่ต่ำลงมา ซึ่งก็มีกำแพงล้อมไว้เช่นกัน ไม่มีแสงใดสาดส่องออกมา ดูราวกับว่าหอคอยนั้นจะไม่มีหน้าต่าง—อย่างน้อยก็ในชั้นที่สูงกว่ากำแพงชั้นใน มีเพียงเพชรพลอยที่สูงขึ้นไปซึ่งสะท้อนแสงอันเย็นชาของแสงดาวเท่านั้น
นอกกำแพงชั้นล่างหรือชั้นนอกนั้นมีพุ่มไม้ขึ้นหนา ชาวซิมเมอเรียนคืบเข้าไปใกล้แล้วยืนอยู่เคียงสิ่งกีดขวาง ใช้สายตาวัดมัน มันสูง แต่เขาสามารถกระโจนและใช้นิ้วจับสันกำแพงได้ จากนั้นการเหวี่ยงตัวเองขึ้นและข้ามมันไปนั้นก็เป็นเพียงเรื่องเด็กเล่น และเขาก็ไม่สงสัยเลยว่าเขาจะผ่านกำแพงชั้นในไปได้ด้วยวิธีเดียวกัน แต่เขาก็ลังเลต่อความคิดถึงภัยที่กล่าวว่ารออยู่ในนั้น สำหรับเขาแล้วคนเหล่านี้ประหลาดและเร้นลับ พวกนั้นไม่ใช่พวกเดียวกับเขา—ไม่แม้แต่จะร่วมสายเลือดกับชาวบริธูเนียน เนเมเดียน และอควิโลเนียนทางตะวันตก ซึ่งวัฒนธรรมอันลี้ลับเคยทำให้เขาตื่นตะลึงมาแล้ว ชาวซามอเรียนนั้นมีมาแต่โบราณนัก และจากที่เขาได้เห็นมาก็ชั่วร้ายนักด้วย
เขาคิดถึงยารา มหานักพรต ผู้สร้างวิบัติอันแปลกประหลาดจากหอคอยที่ประดับด้วยอัญมณีของเขา แล้วชาวซิมเมอเรียนก็ขนลุกเมื่อระลึกถึงเรื่องที่เด็กรับใช้ผู้เมามายในสนามหญ้าเล่าให้ฟัง—ที่ยาราหัวเราะใส่หน้าของเจ้าชายผู้เป็นศัตรู แล้วชูอัญมณีที่ส่องแสงชั่วร้ายขึ้นต่อหน้า และที่แสงซึ่งสาดส่องเจิดจ้าออกมาจากมณีเลวทรามนั้นโอบล้อมเจ้าชายผู้กรีดร้องและล้มลง แล้วก็หดตัวลงเป็นก้อนสีดำเหี่ยวๆซึ่งกลายไปเป็นแมงมุมดำซึ่งวิ่งไปมาอย่างไร้สติในห้องนั้นก่อนที่ยาราจะใช้เท้าเหยียบมัน
ยารานั้นไม่ค่อยจะออกจากหอคอยเวทมนตร์ของตนนัก และก็จะทำงานชั่วร้ายให้ผู้ใดหรือประเทศใดอยู่เสมอ องค์ราชาแห่งซามอรากลัวเขายิ่งกว่าที่กลัวมัจจุราช และก็ทำให้ตนเมามายตลอดเวลาด้วยว่าตนไม่อาจทนต่อความหวาดกลัวนั้นในยามสร่างได้ ยารานั้นอายุมากแล้ว—ว่ากันว่าหลายร้อยปี และเสริมด้วยว่าเขาจะอยู่ไปได้ตลอดกาลด้วยเวทมนตร์จากมณีของเขา ซึ่งผู้คนเรียกกันว่าหัวใจคชสาร ซึ่งก็ไม่ได้มีเหตุผลมากกว่าที่เรียกรังของเขาว่าหอคอยคชสาร
ชาวซิมเมอเรียนที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านั้นแนบตัวกับกำแพงอย่างรวดเร็ว ในสวนนั้นมีใครบางคนผ่านมา คนที่เดินด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ โสตประสาทได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน ในสวนนี้มียามอยู่จริงๆ ซิมเมอเรียนรอด้วยคาดว่าจะได้ยินเขาผ่านไปอีกรอบหนึ่ง แต่ในสวนลึกลับนั้นก็มีแต่ความเงียบงัน
ในที่สุดความสงสัยก็นำเขา เขาโผนขึ้นเกาะกำแพงอย่างแผ่วเบาแล้วเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปด้านบนด้วยแขนข้างหนึ่ง ตอนที่หมอบราบกับสันกำแพงที่กว้างนั้น เขาก็มองลงไปในที่ว่างกว้างขวางระหว่างกำแพงทั้งสอง ไม่มีพุ่มไม้ขึ้นใกล้ๆเขาเลย แต่เขาก็แลเห็นพุ่มไม้ที่ตัดเล็มอย่างประณีตแล้วใกล้กับกำแพงชั้นใน แสงดาวสาดส่องลงบนสนามหญ้าที่ราบเรียบและมีเสียงของน้ำพุจากที่ไหนสักแห่ง
ชาวซิมเมอเรียนหย่อนตัวลงไปด้านในอย่างระมัดระวังแล้วชักดาบมองไปรอบกาย เขาสั่นด้วยความกังวลตื่นเต้นที่ยืนอยู่ใต้แสงดาวโดยไม่มีที่กำบัง แล้วเขาก็ขยับไปตามแนวโค้งของกำแพงอย่างแผ่วเบาในเงาของมัน จนกระทั่งตนอยู่ในแนวเดียวกับไม้พุ่มที่แลเห็นก่อนหน้า จากนั้นเขาก็วิ่งไปหามันอย่างรวดเร็ว หมอบตัวลงต่ำ และเกือบสะดุดร่างที่กองอยู่ใกล้กับพุ่มไม้นั้น
เมื่อมองซ้ายขวาอย่างเร็วและเห็นว่าไม่มีศัตรูอยู่ใกล้ตัวแล้ว เขาก็ก้มลงดูใกล้ๆ แม้แต่ใต้แสงดาวสลัวนั้น สายตาอันแหลมคมของเขาก็แลเห็นชายผู้กำยำสวมเกราะเงินและหมวกเหล็กที่มีสัญลักษณ์ของราชองครักษ์ซามอเรียนได้ โล่และหอกวางอยู่ข้างกาย และเพียงตรวจดูก็เห็นได้ทันทีว่าเขาถูกรัดคอ คนเถื่อนมองไปรอบๆอย่างไม่สบายใจ เขารู้ว่าชายผู้นี้คือยามที่เขาได้ยินเดินผ่านไปในตอนที่ซุ่มที่กำแพงนั่นเอง เวลาผ่านไปไม่นานนัก แต่ในเวลานั้นก็มีมือนิรนามยื่นมาจากความมืดมิดและปลิดชีพทหารผู้นี้ไป
เมื่อเขม็งตาในความมืด เขาก็เห็นร่องรอยของการเคลื่อนไหวผ่านพุ่มไม้ใกล้กับกำแพง เขาโผไปที่นั่น มือจับดาบไว้ เขาไม่ได้มีเสียงมากไปกว่าที่เสือดำเร้นกายในราตรีเลย แต่ชายผู้ที่เขาตามไปนั้นก็ยังได้ยิน ชาวซิมเมอเรียนเห็นแนวร่างใหญ่รางๆอยู่ใกล้กับกำแพง โล่งอกที่อย่างน้อยมันก็เป็นคน แล้วผู้นั้นก็หันกายอย่างเร็วโดยหลุดเสียงออกมาเหมือนตระหนก กระโจนไปข้างหน้าและกำมือทั้งสองก่อน แล้วจึงผงะไปเมื่อดาบของซิมเมอเรียนสะท้อนกับแสงดาว ครู่หนึ่งอันตึงเครียดนั้นทั้งสองมิได้เอ่ยปาก ยืนรอรับมือสิ่งใดๆที่จะเกิดขึ้น
“เจ้าไม่ใช่ทหาร” ในที่สุดคนแปลกหน้าส่งเสียงก่อน “เจ้าเป็นขโมยเหมือนข้า”
“แล้วเจ้าเป็นใคร?” ชาวซิมเมอเรียนถามด้วยเสียงกระซิบสงสัย
“ทอรัสแห่งเนเมเดีย”
ชาวซิมเมอเรียนลดดาบลง
“ข้าเคยได้ยินชื่อเจ้า ผู้คนเรียกเจ้าว่าเจ้าชายแห่งขโมย”
เสียงหัวเราะเบาๆตอบกลับมา ทอรัสนั้นสูงพอๆกับชาวซิมเมอเรียนและหนักกว่า เขามีหน้าท้องที่อ้วนใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวทุกย่างนั้นมีแนวของวิถีอันละเอียดอ่อน ซึ่งได้แลเห็นได้จากกับดวงตาอันแหลมคมซึ่งเป็นประกายแข็งแรงแม้จะอยู่กลางแสงดาว เขาเท้าเปล่าและถือขดซึ่งดูเหมือนเชือกเรียวเล็กแข็งแรงซึ่งมัดเป็นปมไว้เป็นระยะสม่ำเสมอ
“เจ้าเป็นใคร?” เขากระซิบ
“โคแนน ชาวซิมเมอเรียน” อีกฝ่ายตอบ “ข้ามาเพื่อหาทางขโมยมณีของยาราซึ่งคนเรียกว่าหัวใจคชสาร”
โ
คแนนรู้สึกได้ถึงหน้าท้องของชายผู้นั้นสั่นเทิ้มด้วยเสียงหัวเราะ แต่มิใช่การดูถูก “แด่เบล เทพแห่งหัวขโมย!” ทอรัสส่งเสียง “ข้าคิดว่ามีแต่ตัวข้าที่มีความกล้าจะลองขโมยมันเสียแล้ว เจ้าพวกซามอเรียนนี้เรียกตนเองว่าขโมย—ฮ่า! โคแนน ข้าชอบใจเจ้า ข้าไม่เคยผจญภัยร่วมกับผู้ใดมาก่อน แต่ในนามของเบล เราจะลองมันด้วยกันถ้าเจ้ายินดี”
“งั้นเจ้าก็ต้องการมณีนั่นเช่นกัน?”
“จะมีอะไรอีกเล่า? ข้าได้วางแผนมาหลายเดือน แต่สำหรับเจ้านั้น ข้าว่าคงเป็นอารมณ์ชั่ววูบล่ะสิ สหายข้า”
“เจ้าฆ่าทหารนั่น?”
“แน่นอน ข้าไถลข้ามกำแพงมาตอนที่เขาอยู่อีกด้านของสวน ข้าซ่อนตัวในพุ่มไม้ เขาได้ยินข้า หรือไม่ก็คิดว่าเขาได้ยินอะไรสักอย่าง เมื่อเขาเดินเข้ามา มันก็ไม่ใช่ลูกเล่นอะไรที่จะเข้าไปข้างหลังแล้วรัดคอปลิดชีวิตโง่เขลาของเขาเสีย เขาก็เหมือนคนส่วนใหญ่ อยู่ในความมืดแล้วก็ตาบอดเสียครึ่ง หัวขโมยที่ดีควรมีดวงตาดั่งแมว”
“เจ้าทำพลาดไปสิ่งหนึ่ง” โคแนนกล่าว
ตาของทอรัสเป็นประกายด้วยความโกรธ
“ข้า? ข้านี่นะทำพลาด? เป็นไปไม่ได้!”
“เจ้าควรจะลากศพเข้าไปในพุ่มไม้”
“นั่นมือใหม่กล่าวกับปรมาจารย์ พวกมันไม่เปลี่ยนกะยามจนถึงหลังเที่ยงคืน หากมีใครสักคนมาหาเขาในตอนนี้แล้วเจอศพของเขา พวกนั้นก็จะหนีไปหายาราในทันที ป่าวประกาศข่าวออกไป และก็ทำให้เรามีเวลาหนี แต่หากว่าพวกนั้นหามันไม่พบก็จะทำการค้นทุกซอกทุกมุมแล้วจับเราได้เหมือนหนูติดกับ”
“เจ้าพูดถูก” โคแนนเห็นด้วย
“เอาล่ะ ทีนี้ฟัง เราเสียเวลากับการเสวนาสารเลวนี่ ในสวนชั้นในนั้นไม่มียาม—ข้าหมายถึงยามที่เป็นคน แต่มันก็มีผู้เฝ้าระวังที่ร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะพวกมันนั่นเองที่ทำให้ข้าอับจนอยู่นาน แต่ในที่สุดข้าก็หาวิธีกำจัดพวกมันได้แล้ว”
“แล้วพวกทหารที่อยู่ชั้นล่างของหอคอยล่ะ?”
“เจ้าเฒ่ายาราอยู่ในห้องข้างบน เราจะเข้าไปทางนั้น—แล้วก็ออกมา ข้าหวังว่าอย่างนั้น อย่าถามข้าว่าจะทำอย่างไร ข้าได้เตรียมหนทางไว้แล้ว เราจะเล็ดลอดลงไปจากยอดหอคอย บีบคอเจ้าเฒ่ายาราก่อนที่มันจะร่ายคาถาต้องสาปใดๆใส่เราได้ อย่างน้อยเราก็จะลองดู โอกาสที่จะถูกสาปเป็นแมงมุมหรือคางคก แลกกับความมั่งคั่งและอำนาจในโลกนี้ หัวขโมยชั้นดีทุกคนรู้จักการเสี่ยงภัยทั้งนั้น”
“ข้าจะทำเท่าที่คนจะทำได้” โคแนนกล่าวพลางถอดรองเท้าออก
“งั้นก็ตามข้ามา” แล้วทอรัสก็หันไปกระโดดขึ้นเกาะกำแพงก่อนดึงตัวขึ้นไป ความพลิ้วไหวของชายผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์เมื่อคำนึงถึงร่างของเขา มันเกือบดูเหมือนกับว่าเขาโผนขึ้นไปบนสันกำแพงนั่น โคแนนตามไปแล้วหมอบลงบนนั้น พวกเขาพูดกันด้วยเสียงกระซิบ
“ข้าไม่เห็นแสง” โคแนนรำพึง ส่วนล่างของหอคอยนั้นก็ดูเหมือนส่วนที่แลเห็นได้จากนอกสวน—ทรงกระบอกแวววาวที่สมบูรณ์แบบซึ่งไม่มีช่องทางอันแลเห็นได้
“มันมีประตูและหน้าต่างที่สร้างอย่างแยบยลอยู่” ทอรัสตอบ “แต่มันปิดแล้ว พวกทหารหายใจด้วยอากาศที่เข้าไปทางข้างบน”
สวนนั้นกลายเป็นแอ่งของเงามืดรางๆ ซึ่งไม้พุ่มและต้นไม้ที่กระจายไปต่ำๆนั้นโอนเอนอย่างมืดมัวใต้แสงดาว จิตอันระมัดระวังของโคแนนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเภทภัยที่ล่องลอยอยู่เหนือมัน เขารู้สึกได้ถึงแววอันลุกโชนของดวงตาที่ยังไม่เห็น และเขาก็ได้กลิ่นจางๆซึ่งทำให้เขาขนลุกตามสัญชาตญาณ เหมือนสุนัขล่าเนื้อที่ได้กลิ่นศัตรูเก่าแก่
“ตามข้ามา” ทอรัสกระซิบ “อยู่หลังข้าไว้ ถ้าเจ้ายังรักชีวิต”
ชาวเนเมเดียนดึงสิ่งที่ดูเหมือนท่อทองแดงออกจากเข็มขัดแล้วทิ้งตัวลงบนสนามหญ้าด้านในกำแพงอย่างแผ่วเบา โคแนนตามไปติดๆ พร้อมจะใช้ดาบ แต่ทอรัสดันเขาถอยไปชิดกับกำแพงโดยที่ตนเองก็ไม่มีท่าทีจะเดินหน้า ท่าทางของเขานั้นเป็นการรอคอยอย่างตึงเครียด และสายตาของเขาก็จับจ้องไปยังมวลเงาของพงไม้ที่ห่างออกไปไม่กี่หลาเช่นเดียวกับโคแนน พงไม้นั้นสั่นไหวแม้ว่าลมจะสงบแล้ว จากนั้นดวงตาคู่หนึ่งก็เป็นประกายจากเงาที่สั่นไหวนั้น และด้านหลังของมันก็มีประกายแสงอื่นอยู่ในความมืด
“สิงโต!” โคแนนพึมพำ
“ใช่ ตอนกลางวันพวกมันถูกเก็บไว้ในถ้ำใต้หอคอย นี่คือสาเหตุที่ไม่มียามในสวนนี้”
“มองเห็นห้าตัว อาจจะมีในพุ่มไม้ข้างหลังนั่นอีก พวกมันจะพุ่งเข้ามา—”
“เงียบ!” ทอรัสส่งเสียงขู่แล้วก็เคลื่อนกายออกไปจากกำแพงอย่างระมัดระวังราวกับกำลังทรงตัวบนใบมีดและยกท่อเรียวนั้นขึ้น เสียงคำรามต่ำๆดังจากเงามืดและดวงตาที่โชติช่วงก็เคลื่อนมาด้านหน้า โคแนนรู้สึกได้ถึงฟันที่เปื้อนน้ำลาย หางที่เป็นพู่สะบัดไปด้านข้าง อากาศเริ่มอึดอัดขึ้น—ชาวซิมเมอเรียนจับดาบตนไว้ รอการกระโจนและแรงกระแทกอันไม่อาจต้านทานได้จากร่างอันใหญ่โต แล้วทอรัสก็ยกปลายท่อขึ้นจรดริมฝีปากของตนก่อนเป่าอย่างแรง ละอองสีเหลืองพุ่งออกไปเป็นสายยาวจากอีกด้านของท่อซึ่งกระจายออกเป็นหมอกหนาสีเหลืองเขียวที่เข้าปกคลุมพุ่มไม้บดบังดวงตาที่เป็นประกายนั่น
ทอรัสรีบวิ่งกลับมาที่กำแพง โคแนนมองโดยที่ไม่เข้าใจ หมอกหนานั้นบดบังพุ่มไม้ไว้และไม่มีเสียงใดๆออกมา
“หมอกนั่นมันอะไร?” ซิมเมอเรียนถามอย่างไม่สบายใจ
“มัจจุราช!” เนเมเดียนส่งเสียง “หากว่ามีลมพัดมันกลับมาหาเรา เราก็ต้องหนีขึ้นไปบนกำแพง แต่ไม่หรอก ตอนนี้ลมสงบและมันก็แผ่ออกไปแล้ว รอให้มันหายไปให้หมดก่อน เพราะการสูดมันเข้าไปนั้นหมายถึงความตาย”
ครู่หนึ่งมันก็เหลือเพียงเศษเสี้ยวสีเหลืองที่อ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศราวกับภูตผี แล้วก็หายไป และทอรัสก็ทำท่าให้เพื่อนร่วมทางเดินหน้า พวกเขาย่องไปทางพุ่มไม้ แล้วโคแนนก็อ้าปากค้าง ที่เรียงรายอยู่ในเงานั้นคือร่างสีน้ำตาลขนาดใหญ่ห้าร่าง ประกายในดวงตาอันดุร้ายของพวกมันหม่นมัวไปตลอดกาล กลิ่นหอมชวนอึดอัดยังคงอยู่ในอากาศ
“พวกมันตายโดยไม่ได้ส่งเสียง!” ซิมเมอเรียนพึมพำ “ทอรัส ผงละอองนั่นคืออะไร?”
“มันทำจากดอกบัวดำที่บานในป่าลึกแห่งคิไท ที่ซึ่งมีเพียงพวกนักพรตกะโหลกเหลืองแห่งยุนอาศัยอยู่ ดอกไม้นี้จะนำพาความตายมาสู่ทุกผู้ที่ดมมัน”
โคแนนคุกเข่าลงข้างร่างใหญ่โตเหล่านั้นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันไม่อาจเป็นภัยแล้วจริงๆ เขาส่ายศีรษะ เวทมนตร์ของต่างแดนนั้นทั้งลึกลับและน่าสะพรึงกลัวต่อคนเถื่อนแห่งทางเหนือ
“ทำไมเจ้าถึงสังหารพวกทหารในหอคอยด้วยวิธีเดียวกันไม่ได้หรือ?”
“เพราะนั่นเป็นผงละอองทั้งหมดที่ข้ามีแล้ว ลำพังการเอามันมานั้นก็นับเป็นวีรกรรมที่พอจะทำให้ข้ามีชื่อเสียงในหมู่หัวขโมยบนโลกได้เลย ข้าขโมยมันมาจากกองคาราวานของสไตเกีย แล้วข้าก็ยกมันซึ่งอยู่ในคราบของถุงทองจากขดของมหาอสรพิษที่เฝ้ามันอยู่โดยที่ไม่ทำให้มันตื่น แต่มาเถอะ ในนามแห่งเบล! เราจะเสียเวลาคืนนี้ไปกับการพูดคุยกันหรือไร?”
พวกเขาถลาผ่านพุ่มไม้ไปยังตีนหอคอยแวววาว และที่นั่น ทอรัสก็คลายเชือกที่มัดไว้เป็นปมซึ่งปลายด้านหนึ่งนั้นเป็นตะขอเหล็กกล้าด้วยการเคลื่อนไหวที่ไร้สุ้มเสียง โคแนนรู้แผนของเขาและมิได้ถามอะไรเมื่อชาวเนเมเดียนจับเชือกต่ำลงมาจากตะขอไม่มากนัก แล้วก็เริ่มกวัดแกว่งมันเหนือหัว โคแนนแนบหูฟังกับผนังที่เรียบลื่นนั้น แต่ก็ไม่ได้ยินอะไร แน่ชัดว่าพวกทหารข้างในมิได้ตระหนักว่ามีผู้บุกรุกซึ่งมิได้ทำให้เกิดเสียงใดดังไปกว่าสายลมยามราตรีที่พัดผ่านแมกไม้ แต่คนเถื่อนก็ยังมีความระแวงประหลาด อาจจะเป็นเพราะกลิ่นสาบสิงโตซึ่งมีอยู่ทั่ว
ทอรัสใช้แขนอันทรงพลังเหวี่ยงเชือกด้วยการเคลื่อนไหวอันไหลลื่นและเฉียบคม แนวของตะขอนั้นโค้งขึ้นและหันเข้าอย่างแปลกประหลาดจนยากจะบรรยายได้ และหายลับไปเหนือขอบฝังอัญมณี ดูเหมือนว่ามันจะติดอยู่อย่างมั่นคง เพราะเมื่อกระตุกและดึงอย่างแรงดูแล้วก็มิได้ลื่นหรือหลุดออกมา
“มีโชคตั้งแต่ทีแรก” ทอรัสรำพึง “ข้า—”
สัญชาตญาณเถื่อนของโคแนนทำให้เขาหันกายอย่างฉับพลัน เพราะความตายเข้ามาหาทั้งสองอย่างไร้สุ้มเสียง การเหลือบมองชั่วขณะทำให้ชาวซิมเมอเรียนเห็นร่างสีน้ำตาลใหญ่โตซึ่งยกตัวขึ้นกลางหมู่ดาวเหนือตัวเขาเพื่อตะปบ ไม่มีเผ่าเจริญผู้ใดจะเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วเพียงครึ่งของที่คนเถื่อนทำ ดาบของเขาเป็นประกายเย็นชาท่ามกลางแสงดาวด้วยประสาทในยามคับขันทั้งหมดที่เหวี่ยงมันออกไป แล้วทั้งคนกับสัตว์ร้ายก็ล้มลงทั้งคู่
ทอรัสโก้งโค้งเหนือมวลนั้น สบถไม่เป็นภาษา และเห็นว่าแขนขาของเพื่อนร่วมทางกำลังเคลื่อนไหวเพื่อกระเสือกกระสนดึงตัวเองออกจากน้ำหนักมหาศาลที่ฟุบอยู่บนตัวเขา การมองผ่านๆก็ทำให้ชาวเนเมเดียนที่ตระหนกรู้ว่าสิงโตนั้นตายแล้ว หัวกะโหลกที่ลาดเอียงของมันถูกผ่าครึ่ง เขาดึงซากนั่น แล้วโคแนนก็ผลักมันออกไปได้และลุกขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของเขา มือยังจับดาบที่มีเลือดหยด
“เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า สหาย?” ทอรัสอ้าปากค้าง ยังตะลึงกับความรวดเร็วของชั่วจังหวะที่เกิดเมื่อครู่
“ไม่เลย แด่ครอม!” คนเถื่อนตอบ “แต่นั่นก็ฉิวเฉียดที่สุดในชีวิตของข้าเลย ทำไมเจ้าสัตว์ร้ายนั่นถึงไม่คำรามก่อนพุ่งมา?”
“ทุกสิ่งในสวนนี้ประหลาดทั้งนั้น” ทอรัสว่า “สิงโตที่จู่โจมอย่างเงียบกริบ—ความตายอื่นๆก็ด้วยเช่นกัน แต่มาเถอะ—การเข่นฆ่าเมื่อครู่เกิดเสียงน้อยนิด แต่หากว่าพวกมันไม่ได้หลับหรือเมามายกันแล้วพวกทหารก็อาจจะได้ยิน เจ้าสัตว์ร้ายนั่นอยู่ในส่วนอื่นของสวนและหลบรอดจากความตายแห่งดอกไม้มาได้ แต่แน่ใจได้ว่ามันไม่มีอีกแล้ว เราต้องปีนเชือกนี่—ขอถามชาวซิมเมอเรียนนิดนะว่าทำได้หรือเปล่า”
“ถ้ามันรับน้ำหนักข้าได้นะ” โคแนนแค่นเสียง ใช้หญ้าเช็ดดาบ “มันรับน้ำหนักตัวข้าได้สามคนเลยล่ะ” ทอรัสตอบ “มันทอจากปอยผมของสตรีที่ตายแล้ว ซึ่งข้าเอามาจากหลุมศพของพวกนางในยามเที่ยงคืน แล้วก็แช่ในยางน่องอันน่ากลัวเพื่อให้มันแข็งแรง ข้าจะไปก่อน—ตามมาติดๆล่ะ”
ชาวเนเมเดียนกุมเชือกแล้วเกี่ยวเข่าข้างหนึ่งไว้กับมันและเริ่มปีนขึ้นไป เขาขึ้นไปราวกับแมวซึ่งผิดกับร่างที่ดูอุ้ยอ้ายเขา ชาวซิมเมอเรียนตามไป เชือกแกว่งและบิดตัว แต่ผู้ที่ปีนอยู่ก็มิได้หยุดชะงัก ทั้งคู่เคยทำการปีนป่ายที่ยากกว่านี้มาแล้ว ขอบฝังอัญมณีระยิบระยับอยู่เหนือทั้งสองยื่นตั้งฉากออกมาจากผนัง ทำให้เชือกนั้นโยงห่างจากข้างหอคอยมาประมาณฟุตหนึ่ง—ซึ่งทำให้การปีนขึ้นไปนี้ง่ายขึ้นมาก