งานแปลเปลี่ยนบรรยากาศครับ Haunted Sites เป็นE-bookเล่มหนึ่งของทีม The Kargatane ครับ รวมๆงานที่ร่วมสนุกกับวารสาร Dragonเล่ม252 ซึ่งให้เขียนที่ผีสิงความยาวไม่เกิน1000คำในโลกของปราสาทมารRavenloft แต่เล่มนี้ไม่มีให้โหลดจากเว็บของThe Kargataneแล้วเพราะติดลิขสิทธิ์
อันนี้แค่บทนำ แต่ก็เป็นเรื่องเป็นราวในตัวแล้วน่ะนะ (ทีมนี้ชอบเขียนบทนำสไตล์นี้)
เด็กหนุ่มบาเทิลบียืนอยู่หน้าบ้านอันเก่าทรุดโทรมที่ถนนชยบทห่างไกลผู้คน มืออันสั่นเทากำจดหมายไว้
กริมไดค์ผู้เก็บตัวนั้นเป็นหนึ่งในนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สังคมยอมรับ ปรมาจารย์ผู้โด่งดังแห่งเรื่องผีสาง แต่ว่าแม้ชื่อเสียงของกริมไดค์จะแพร่กระจายออกไปตัวเขาเองก็ยังหลบลี้ไปจากโลกภายนอก นักประพันธ์รุ่นเยาว์นับไม่ถ้วนที่ต้องการรับการสั่งสอนจากเขา แต่จดหมายเหล่านั้นก็ถูกส่งกลับโดยไม่ถูกเปิดออกดูเลย ทั้งหมด ยกเว้นเพียงฉบับเดียว
บาเทิลบีหยุดอยู่หน้าบันไดเพื่ออ่านคำเชิญที่ตนได้รับอีกเที่ยวและรวบรวมความกล้า จากบรรดานักประพันธ์หนุ่มสาวที่แย่งกันเรียกความสนใจจากริมไดค์นั้น ด้วยเหตุผลบางประการนักประพันธ์ผู้โด่งดังก็ได้เลือกตอบกลับไปหาบาเทิลบีและเชิญให้เด็กหนุ่มมายังบ้านของเขา มีแต่บาเทิลบีเท่านั้น
เขากลั้นหายใจด้วยความระทึก บาเทิลบียกที่เคาะประตูทองเหลืองอันหนักอึ้งขึ้นและเคาะมัน หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง
ไม่มีเสียงตอบจากข้างใน หลังการเคาะประตูอีกหลายครั้งและการรอคอยอีกหลายนาที ความกังวลของบาเทิลบีก็กลับมาอีก แต่คราวนี้เขาวิตกในความเป็นไปอันอาจเลวร้ายที่สุดของกริมไดค์ผู้ชรา เขาลองดึงมือจับของประตูหน้าอันหนักนั้นและก็พบว่ามันไม่ได้ล็อกไว้
ประตูเปิดออกช้าๆและบาเทิลบีก็เข้าไปในบ้านอย่างลังเล เขาเจอห้องที่มีตำราเล่มหนาตั้งอยู่ทั่วไปหมดและเรียงอยู่ตามผนัง กับอากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง
"ขอโทษครับ" เด็กหนุ่มเรียก "คุณกริมไดค์?" บาเทิลบีค่อยๆเข้าไปลึกขึ้นในบ้านที่มืดครึ้มนั้น "คุณอยู่หรือเปล่าครับ คุณกริมไดค์? คุณสบายดีนะครับ?" เสียงของบาเทิลบีอู้อี้ในอากาศอันขมุกขมัวนั้นและไม่มีคำตอบ
เมื่อบาเทิลบีก้าวเข้าสู่ห้องถัดไป เขาก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตในที่สุด บันไดอันกว้างที่ขึ้นสู่เงามืดของชั้นบน ส่องสว่างด้วยแสงทองของดวงอาทิตย์ฤดูร้อนผ่านหน้าต่างสูง แม้จะมีราวบันไดหนาอยู่ บาเทิลบีก็ยังเหลือบเห็นเด็กชายตัวน้อยท่าทางร่าเริงที่เล่นอยู่เงียบๆบนบันได สว่างไสวอยู่กลางแสงอาทิตย์
"ขอโทษนะ" บาเทิลบีบอกและเข้าไปที่บันไดเพื่อทักเด็กชาย "แต่หนูช่วยบอกฉันหน่อยได้หรือเปล่าว่าคุณ-" คำทักทายของบาเทิลบีค้างอยู่ในลำคอ เพราะเมื่อเขาเดินอ้อมราวบันไดไปนั้น"เด็ก"ก็หายไปแล้ว การเล่นตลกของแสง เด็กชายมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าประกายฝุ่นที่เคลื่อนไปมาอยู่ในแสงอาทิตย์
บาเทิลบียืนนิ่งอยู่หลายนาที ในหัวมึนและไม่ค่อยจะเข้าใจว่าตาของตนถูกหลอกแบบนั้นได้อย่างไร
ตอนที่บาเทิลบีได้ยินเสียงนั้นมันทำให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่าตนคอแห้งผาก
"เอ้า?" เสียงแหบๆเรียกอีก "ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?"
บาเทิลบีตั้งสติและตอบกลับไป
"บาเทิลบีครับ! ผม...ผมขอโทษที่บุกรุกเข้ามา แต่ไม่มีใครตอบที่ประตู...ผม-ผมมีจดหมายเชิญ..." บาเทิลบีหยุดคิด "ขอโทษนะครับ นั่นคุณกริมไดค์หรือเปล่า?"
เงาที่ปลายบันไดนั้นเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
"ใช่ ฉันรอเธออยู่ ขึ้นมาข้างบนสิ"
การได้ยินเสียงผู้ที่เขาเทิดทูนนั้นทำให้ประสาทของบาเทิลบีมั่นคงขึ้นมาก จนกระทั่งเมื่อเขาขึ้นไปถึงชั้นสองแล้วภาพลวงตาของเด็กชายที่บันไดก็ถูกลืมสนิท ที่ยอดบันไดนั้น บาเทิลบีพบว่ามันเป็นกึ่งกลางของทางเดินยาว แต่ละด้านมีประตูอยู่มากมาย เพราะไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนเขาก็เพ่งมองไปด้านหน้าหนึ่งแล้วก็หันไปอีกด้าน ตอนที่เขาหันมาทางซ้ายนั้น ที่สุดทางเดินก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา เธออายุพอๆกับบาเทิลบีและดูสวยงามแม้จะอยู่ในเงา เธอมองบาเทิลบีด้วยดวงตาที่อ่อนโยนและมีรอยยิ้มบางๆบนริมฝีปาก แต่ตอนที่เธอเดินเข้ามาจะทักเขานั้น ความสนใจของเด็กหนุ่มก็ถูกหันเหไปด้วยเสียงอันแหบกร้าน
"ทางนี้ บาเทิลบี" เสียงของกริมไดค์มาจากประตูถัดไปทางขวาของบาเทิลบีนั่นเอง ใกล้เสียจนเขาสะดุ้ง บาเทิลบีก้าวไปทางประตู แล้วความคิดของเขาก็กลับมาที่สุภาพสตรีคนนั้น เขาหันกลับไปทางเธอเพื่อจะแนะนำตัวให้เป็นเรื่องราว
เธอหายไปแล้ว เธอไม่เคยอยู่ตรงนั้น ที่ที่เธอเคยยืนอยู่ ที่ที่บาเทิลบีเห็นหญิงสาวผู้น่ารักนั้นตอนนี้มีเพียงเงามืดที่บิดเบี้ยวเพราะรอยบนผนังปูน บาเทิลบีรู้สึกเย็นยะเยือกไปตามเส้นเลือดเมื่อเขาเริ่มเข้าใจถึงธรรมชาติที่แวดล้อมเขาอยู่
ความคิดของเขาปั่นป่วน บาเทิลบีตามเสียงของกริมไดค์เข้าไปในห้องหนังสือ มีตำราอยู่แน่นยิ่งกว่าห้องก่อนๆ ที่นั่นเองที่บาเทิลบีได้เจอกับนักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่กับตัวเสียที
กริมไดค์นั่งอยู่ที่โต๊ะหนาหนัก รกไปด้วยแผ่นกระดาษขนาดต่างๆ ตำรากองสุมกันที่พื้นรอบๆเขา ขาที่คลุมผ้านั้นทำให้กริมไดค์ดูเหมือนจะกำลังเข้าดักแด้ที่โต๊ะนั่นมากเสียกว่าจะนั่งอยู่ น้ำหนักหกสิบปีของเขาถ่วงอยู่บนทุกส่วนของใบหน้า และเขาก็มองมาทางบาเทิลบีด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์
"นั่งสิ" กริมไดค์เชิญ ชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่รกน้อยกว่าตัวอื่น หลังจากที่เอาหนังสือไปจากเก้าอี้แล้วบาเทิลบีก็รับข้อเสนอ
"เอาล่ะ" กริมไดค์พูดต่อในที่สุด "ฉันเข้าใจว่าเธออยากจะรู้ความลับของแรงบันดาลใจของฉันสินะ"
"ตามนั้นและยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ" บาเทิลบีตอบ ความตื่นเต้นในเสียงต่อสู้กับการรักษามารยาท "แต่จากสิ่งที่ผมได้เห็นในบ้านนี้ ผมสงสัยว่าผมน่าจะรู้ความลับของคุณมาสักครึ่งหนึ่งแล้วล่ะ"
กริมไดค์เบ้ปาก "ยังไงรึ?"
บาเทิลบีอดแสยะยิ้มด้วยความเกร็งไม่ได้ "เด็กที่บันไดนั่นกับผู้หญิงที่ทางเดิน" -บาเทิลบีสังเกตเห็นแววความเจ็บปวดที่เล็ดลอดจากสายตาของกริมไดค์-"พวกนั้นเป็นวิญญาณ ใช่ไหมครับ?"
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้" เสียงของกริมไดค์ฟังดูเหนื่อยล้า
"บ้านหลังนี้ถูกสิงสู่สินะครับ?"
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้"
บาเทิลบีหยุดเพื่อใคร่ครวญคำถามถัดไป
"ผมเกรงว่าผมจะละลาบละล้วงหน่อย แต่ผมต้องถาม-คุณรู้จักผีพวกนั้นตอนมีชีวิตหรือเปล่าครับ?"
รอยยิ้มที่เชื่องช้าและเจ็บปวดคืบไปบนใบหน้าของกริมไดค์ และก็ดูเหมือนว่าเขาคำนึงถึงถ้อยคำของตนก่อนจะตอบเช่นกัน
"พวกเขาเป็นครอบครัวของฉัน" กริมไดค์ตอบ รอยยิ้มจางหายไป "จะว่าอย่างนั้นก็ได้"
สายตาของบาเทิลบีเคลื่อนไปทางประตูที่เต็มไปด้วยฝุ่น "ผมขอโทษจริงๆครับ ผมก็ได้แต่จินตนาการดูว่ามันเป็นอย่างไรที่ตอนแรกก็สูญเสียคนที่คุณรัก แล้วจากนั้นก็ถูกหลอกหลอนโดย..."
ถ้อยคำของบาเทิลบีขาดไปพร้อมกับที่ความสับสนขึ้นมาบนใบหน้า ปากของเขายังอ้าอยู่เล็กน้อย เขามองมาทางกริมไดค์อีก สายตาสอดส่ายไปมา กริมไดค์บึ้งตึงอยู่
"ว่ามาสิ" นักประพันธ์ชราพูด
"คือว่า" บาเทิลบีตะกุกตะกัก "มันก็แบบ...คือ ผมได้ศึกษาทุกอย่างที่คุณได้เขียนมาแล้ว แล้วก็ทุกอย่างที่เขียนถึงคุณ แต่ว่า..."
"ต่อไปเลย" กริมไดค์กระทุ้ง เสียงของเขามีแววของความทึ่ง
"คือว่านะครับ ที่ผมศึกษามาทั้งหมด ผมไม่เคยเจอเลยว่าคุณเคยแต่งงาน หรือมีลูก อย่าว่าแต่จะสูญเสียพวกเขาเลย"
กริมไดค์ยิ้มอีก แต่ดวงตานั้นปิดลงด้วยความปวดร้าว "ที่เธอศึกษามานั้นไม่ผิดหรอก ฉันไม่เคยได้แต่งงาน ผู้หญิงที่เธอเห็นที่ทางเดินนั้นเป็นสาวน้อยที่ฉันเคยรักเมื่อสมัยยังหนุ่มๆเมื่อนานมาแล้ว ทุกเช้าฉันลุกขึ้นจากเตียงเพียงเพื่อหวังจะได้เห็นเธอเดินผ่านฉันไปบนถนน เธอควรจะได้เป็นความรักในชีวิตของฉัน แต่ฉันไม่เคยมีความกล้าพอจะได้พูดกับเธอเลย"
"ไม่เคยเลย?" ถ้อยคำนั้นออกปากบาเทิลบีเกือบจะก่อนคิดถึงมันเสียอีก "แต่ถ้าคุณไม่เคยมีลูกชาย แล้วที่ผมเจอที่บันไดนั่นอะไรล่ะ?"
"หรือที่ทางเดินก็เหมือนกัน" กริมไดค์พูกต่อ "ผู้หญิงที่ฉันรักมากคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เหมือนกับสามีของเธอ ก็เหมือนกับลูกๆของพวกเขาแล้วก็หลานๆด้วย"
กริมไดค์แค่นหัวเราะอย่างขุ่นเคือง "ในเรื่องราวของฉัน ฉัยเขียนถึงผีของคนตาย นั่นก็คงเป็นสิ่งที่เธอคาดคิดถึงในที่นี้ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ตอนกลางคืน ทางเดินพวกนี้ก็จะกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะของความรักที่ฉันไม่เคยได้รู้จัก ฉันถูกหลอกหลอนด้วยสิ่งที่เลือกไปแล้ว สิ่งที่ฉันปล่อยไว้โดยไม่ได้ทำ ฉันเป็นคนแก่คนหนึ่งที่ถูกหลอกหลอน ไม่ใช่ความตาย แต่เป็นชีวิตที่ฉันไม่เคยได้ใช้"
"ผีของคนที่มีชีวิต?" บาเทิลบีตอบโดยที่พยายามทำความเข้าใจอยู่
"เปล่า ไม่ใช่คนมีชีวิต ฉันถูกห้อมล้อมด้วยผีของชีวิตเอง" กริมไดค์ค้อมมาด้านหน้า พูดกับบาเทิลบีด้วยน้ำเสียงเหมือนสมคบคิด "ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตของฉัน พ่อหนุ่ม ฉันเพียงแต่สิงสู่มัน ตอนนี้มันก็มาหลอกหลอนฉันบ้าง เพราะแบบนั้นผีของคนตายไม่ได้ทำให้ฉันกลัวเลย เพราะทางเลือกที่ฉันทำไปในชีวิตทำให้ฉันเป็นพวกเดียวกับมันทั้งที่หัวใจยังเต้นอยู่"
กริมไดค์เอนหลังกับเก้าอี้อีก "นั่นล่ะ คือความลับของแรงบันดาลใจของฉัน พ่อหนุ่ม"
บาเทิลบีขมวดคิ้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว "แต่ถ้าคุณเสียใจกับชีวิตถึงขนาดนั้น มันก็ไม่ช้าไปหน่อยที่จะเปลี่ยนแปลงมันเหรอครับ? คุณมีคนที่ชื่นชมคุณอยู่มากนะครับ! ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านเก่าๆให้ปิศาจพวกนี้ห้อมล้อมด้วย?"
กริมไดค์ใช้นิ้วสัมผัสหางตาของตนแล้วมองออกไปที่ทางเดินพร้อมกับตอบ
"คนเราสร้างบ้านบนฐานที่ทำจากหยากไย่ไม่ได้หรอกนะ เจ้าหนู เมื่อฉันหันไปจากปิศาจของฉัน" -กริมไดค์พูดต่อและหันสายตามาทางบาเทิลบี- "ฉันไม่เห็นอะไรที่จะทำให้ฉันได้อบอุ่นในยามค่ำคืนเลย ผีของฉันและความเสียใจของฉันเป็นทั้งหมดที่ฉันมีอยู่ ทั้งหมด นอกไปจากสิ่งนี้..."
กริมไดค์เอื้อมมือไปที่กองกระดาษบนโต๊ะแล้วดึงออกมาอย่างหนาพับหนึ่ง อักแน่นไปด้วยข้อเขียน ก่อนโยนให้บาเทิลบีที่กำลังเบิกตากว้าง
"เอ้า บันทึกและข้อเขียนทั้งหมดของฉันที่ยังไม่ได้เผยแพร่ เรื่องผีมากพอที่จะเติมเต็มเส้นทางนักเขียนคนหนึ่ง มันเป็นของเธอแล้ว จะทำยังไงกับมันก็ตามใจเถอะ"
"แต่ทำไมถึงให้ผมล่ะครับ? ทำไมคุณไม่เผยแพร่เรื่องพวกนี้เองล่ะ?"
"เพราะฉันเหนื่อยกับชีวิตที่ฉันเลือกเองแล้ว ฉันทำให้บ้านนี้ว่างเปล่าเสียจนความว่างเปล่านั้นต้องเติมมันให้เต็มด้วยเสียงกระซิบของชีวิต ฉันอ่านจดหมายของเธอและก็เห็นแล้วว่าเธอกำลังเดินมาในเส้นทางเดียวกับฉัน เอาเรืองพวกนั้นไป ใช้ปิศาจพวกนั้นเติมเต็มหน้าหนังสือของเธอซะ แต่ใช้ชีวิตของเธอให้กับตัวเธอเอง ทีนี้ก็ไปได้แล้ว ได้เวลาที่ฉันจะได้อยู่ร่วมกับปิศาจของฉันแล้ว ในบ้านนี้ เธอเป็นวิญญาณที่ไม่เป็นที่ต้องการ"
บาเทิลบียืนขึ้นและเดินไปทางประตูอย่างเงียบงัน เขาหยุดที่ประตู นึกถึงมารยาทของตนได้และหันกลับมาขอบคุณผู้ที่เขาเทิดทูน
ที่เก้าอี้ของกริมไดค์มี่แต่กองหนังสือสีเหลืองกรอบกับผ้าห่มที่ถูกแมลงกินซึ่งปกคลุมพวกมันอยู่