;3

บทความที่แล้ว: http://irpg.in.th/thread-3058.html

Epic Games Launcher


เมื่อเราเปิดโปรแกรม Epic Games Launcher ขึ้นมาและทำการ Sign in บัญชีเสร็จแล้ว ก็จะขึ้นหน้าต่างโปรแกรมดังรูปภาพด้านบน ซึ่งแท็บด้านบนจะเป็นเกมต่างๆ ของทางค่าย Epic ที่เปิดให้เล่นฟรี หากสนใจก็เข้าไปโหลดเล่นกันได้ ส่วนจากรูปด้านบนนั้นกำลังอยู่ในแท็บ Unreal Engine ซึ่งตามแท็บด้านข้างจะมี Community ข้อมูลข่าวสารของเอนจิ้น Learn แหล่งเรียนรู้ที่ Epic จัดทำไว้ให้ Marketplace แหล่งซื้อขายทรัพยากรและ Library ที่รวมโปรแกรม Unreal Engine และ Project ที่เราสร้างเอาไว้ ในที่นี้จะไปพูดถึงหน้า Library เพื่อสร้างโปรเจคกันต่อเลย





จากรูปเราต้องกด Add Version ของเอนจิ้นตามหมายเลขที่ 1 เสียก่อน แล้วจะสามารถเลือกเวอร์ชั่นของเอนจิ้นได้ตามหมายเลขที่ 2 ของรูป หรือลงเวอร์ชั่นล่าสุดไปเลยก็ได้แล้วกดปุ่ม Install เพื่อดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Unreal Engine หลังจากติดตั้งเสร็จกดปุ่ม Launch ตรงหมายเลขที่ 3 ของรูป เพื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา





ไปที่แท็บ New Project แล้วเลือกระบบเบื้องต้นของโปรเจคได้ เช่น มุมมองบุคคลที่ 1 แบบบุคคลที่ 3  แบบ Side Scroller เป็นต้น จากจุดหมายเลข 3 นั้นเราสามารถเลือก Platform ได้โดยถ้าเลือกแบบ Mobile เราควรปรับคุณภาพกราฟิคจาก Maximum เป็นแบบ Scalable อีกการตั้งค่าหนึ่งคือให้เลือกว่าต้องการใส่ Starter Content หรือทรัพยากรเบื้องต้นที่ทางค่าย Epic ให้มาเข้าไปในโปรเจคหรือไม่ ถ้าไม่ต้องการก็กดเลือก No Starter Content จากนั้นเลือกโฟลเดอร์และชื่อโปรเจคที่ต้องการแล้วกดปุ่ม Create Project



Unreal Engine


เมื่อโปรแกรมเปิดโปรเจคขึ้นมา ถ้าตั้งค่าเลือกแบบ Third Person และ Starter Content เราจะได้โปรเจคออกมาตามภาพด้านบน ตรงจอกราฟิคที่เป็นฉากกราฟิคนั้นเราเรียกว่า Viewport เราสามารถกดคลิ๊กขวาค้างแล้วบังคับมุมกล้องเคลื่อนที่ไปมาได้ด้วยการกดปุ่ม W S A D บนล่างซ้ายขวาตามลำดับ ต่อมาไปดูเมนูต่างๆ ที่แสดงอยู่บนหน้าจอกันว่ามีอะไรบ้างและเอาไว้ใช้ทำอะไรบ้างในเบื้องต้น



The viewport toolbar


1. Transform Tools เครื่องมือ 3 ตัวแรกใช้สำหรับเคลื่อนย้าย ปรับหมุนทิศทาง และปรับขนาดวัตถุต่างๆ
2. Coordinate System มีสองแบบคือ world space และ local space ใช้สำหรับปรับมุมมองทางตำแหน่งวัตถุ ถ้าเป็น world จะยึดกับมุมมองทางตำแหน่ง xyz ของฉาก ถ้าเป็น local จะยึดกับมุมมองทางตำแหน่ง xyz ของวัตถุนั้นๆ
3. Snapping and Move Grid กำหนดขนาด grid ของฉากเพื่อใช้ในการเคลื่อนย้ายวัตถุ
4. Rotation Grid กำหนดองศา grid ของฉากเพื่อใช้ปรับหมุนวัตถุ
5. Scale Grid กำหนดขนาด grid ของฉากเพื่อใช้ขยายวัตถุ
6. Camera Speed เอาใช้กำหนดความเร็วของกล้องที่ใช้ดูฉากใน viewport
7. Maximize Viewport เปิดรูปแบบมุมมองของ viewport ทั้งหมดซึ่งจอจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ช่อง



Modes


ในแท็บ Modes จะมีด้วยกันอยู่ 5 แท็บ เรียงจากซ้ายไปขวามีดังต่อไปนี้
1. Place mode เครื่องมือสำหรับเลือกวัตถุพื้นฐานของเอนจิ้นนำไปใส่ใน viewport ได้ในทันที เช่น วัตถุทรงเลขาคณิต แสงไฟ กล้อง กลไก เสียง ท้องฟ้า เป็นต้น
2. Paint mode เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า Mesh Paint เอาไว้ใช้ลงสีแบบ vertex ให้กับวัตถุที่เป็น static mesh
3. Landscape mode ใช้สร้างพื้นให้กับฉากแล้วสามารถปรับพื้นให้นูนเป็นภูเขาหรือลดให้เป็นหลุมบ่อได้
4. Foliage mode สามารถวาง static mesh หรือวัตถุเดียวกันลงใน viewport เป็นกลุ่มๆ หรือลงเป็นวงกว้างได้ ตัวอย่างเช่น กลุ่มหญ้า ต้นไม้ หิน เป็นต้น
5. Geometry Editing mode เครื่องมือใช้ปรับแก้วัตถุใน viewport ที่เป็นวัตถุแบบ geometry ของเอนจิ้น



World Outliner


ส่วนแสดงวัตถุทั้งหมดที่มีอยู่ฉากแผนที่โดยแสดงเป็น tree view ไล่ลงมา เราสามารถกดเลือกวัตถุต่างๆ เพื่อดูตำแหน่งหรือแก้ไขได้ และสร้างโฟลเดอร์ย่อยใช้แยกวัตถุให้เป็นหมวดหมู่ได้อีกด้วย ส่วนไอคอนลูกตาทางด้านซ้ายเมื่อกดแล้วจะเป็นการซ่อนวัตถุหรือทั้งโฟลเดอร์นั้นออกไปจากฉากไม่ให้มองเห็น เมื่อคลิ๊กขวาที่วัตถุจะมีเมนูสร้าง level แยกย่อยสำหรับแบ่งกลุ่มของวัตถุต่างๆ เอาไว้ได้ด้วย



Details panel หน้าต่างแสดงข้อมูลรายละเอียดของวัตถุที่เรากดเลือกเอาไว้อยู่ ถ้าเราเลือกเอาไว้หลายวัตถุที่เป็นประเภทเดียวกัน ก็ได้ดูและแก้ไขรายละเอียดพร้อมกันได้จากหน้าต่างนี้เลย



Content Browser


เปรียบเสมือนหน้า Windows Explorer หรือที่เปิดดูไดร์ฟโฟลเดอร์ต่างๆ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ด้านซ้ายจะเห็นโฟลเดอร์แยกย่อยภายในโปรเจค ด้านขวาคือไฟล์ที่อยู่ในโฟลเดอร์ที่เรากดเลือกเอาไว้ สามารถสร้างโฟลเดอร์ สร้างไฟล์ ย้ายไฟล์ไปโฟลเดอร์อื่น ลบไฟล์ และกดเปิดดูไฟล์ต่างๆ ผ่านทางหน้าต่างนี้


แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ

ขอบคุณสำหรับtutorialดีๆคับ