Pages (2):    1 2
Kuruni   02-26-2013, 09:43 PM
#11
มีเสียงเรียกร้องแล้วก็ต่อเลยล่ะครับ รอบนี้เป็นพระ (Clerics) ซึ่งสายตะวันตกจะขาดไม่ได้ แต่สายJRPGบางทีก็เบี่ยงไปเป็นจอมเวทขาวแทน

อนึ่ง Munchkin ลงไว้แค่หกคลาสมาตรฐาน+สามคลาสของNPCในระบบD20เองเน้อ แต่มีของหกเผ่าพันธุ์อีก ย้ำอีกนิดว่าหลายๆอย่างจะอิงRPGของฝรั่งโดยเฉพาะD&Dมากกว่า ฉะนั้นถ้าใครไม่แตะฟากนั้นเลยอาจไม่เข้าใจได้ (อย่างตอนนี้ก็ลองนึกภาพสไตล์ฝรั่งที่พระสวมเกราะ มือถือลูกตุ้มไว้ครับ)



พระนั้นเป็นคลาสที่ถูกจำกัดความด้วยเทพที่ตนนับถือยิ่งกว่าคลาสอื่นๆ พวกเขาเป็นคนคอยดูแลพิธีกรรม การบูชา เหล่าพระจะฉลองกันทุกครั้งที่มีสาวกเพิ่ม พระยังมักจะฝ่าเข้าไปกลางเหล่าผู้ไร้ศรัทธาแล้วหวดกะโหลกในนามของพระเจ้าอย่างเร่าร้อนผิดวิสัยนักพรต แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พวกเราชอบพระหรอก เราชอบเอาพระเข้าปาร์ตี้ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น

พระฮีลคนอื่นได้

สำหรับเหล่าผู้กล้าที่ต้องต่อสู้เป็นเนื่องนิจน์นั้น คุณก็ต้องการฟื้นพลัง โดยด่วน และคนเราก็พกโพชันได้จำกัดซะด้วย พระที่เป็นนักผจญภัยด้วยนั้นมักมีคาถาฟื้นพลังด้วย ส่วนนิสัยที่ชอบเทศน์ สวดมนต์เสียงดังในยามที่ไม่น่าสวดและทำให้คนอื่นๆในปาร์ตี้รำคาญนั้นเป็นด้านที่ไม่น่ารักเท่าไหร่ พวกที่ไม่น่ารักสุดๆก็คือคนที่เวลาทุกคนโกยหน้าตั้งจากฝูงปิศาจก็ยังอยากหยุดขอบคุณพระเจ้าที่ยังไม่ถูกฆ่า ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือเห็นด้วยและสนับสนุนให้เขาหยุด ซึ่งอาจช่วยเบี่ยงเบนความสนใจพวกปิศาจได้นานพอให้คนอื่นๆหนีไปได้

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระจะร่วมวงลุยไม่ได้ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกนี้พอๆกับนักรบเลยทีเดียว และคาถาบางอย่างก็ใช้เสกสายฟ้าใส่ชาวบ้านที่อ่อนแอได้สนุกเลยล่ะ ตราบใดที่ไม่ต้องเปลี่ยนมันไปเป็นคาถารักษาน่ะนะ

ความเห็นจากคลาสอื่นๆ

กวี (Bards) คิดว่าพระจดจ่อกับ"ศาสนา"มากเกินไป ชีวิตนี้มีอิสระเสรีมากกว่าที่พระยอมรับได้ตั้งเยอะ แล้วดนตรีตอนประกอบพิธีก็ยังไม่มากพอด้วย

นักบวช (Monks) เคารพในศรัทธาของกวี และเคารพในคาถาฮีลที่มาจากศรัทธานั้นมากกว่าอีก หลังการต่อสู้แล้วมีนักบวชน้อยคนนักที่จะไม่ต้องรับการรักษา

ขโมย (Thieves) คิดว่าพระควรจะเพลาๆวลี"เจ้าไม่ควรลักขโมย"ที่ชอบเทศน์ลงซะบ้าง แต่พวกเขาก็พอใจมากที่โบสถ์ส่วนใหญ่มักใช้กุญแจราคาถูกล็อกกล่องบริจาคให้คนยากจน ในฐานะคนที่มีโอกาสโดนกับดักมากที่สุด ขโมยจึงพอใจมากที่มีคาถาฮีลอยู่ใกล้มือ และพร้อมจะแสดงความนับถือแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

นักรบ (Warriors) เป็นผู้ได้ประโยชน์จากพระมากที่สุดและพยายามทำให้พระได้เลเวลเพื่อให้ฮีลได้ดีขึ้น ถ้านั่นหมายถึงการรับปากช่วยพระเจ้าสักองค์สององค์ มันก็ไม่ใช่ว่าโบสถ์จะเรียกให้ไปสู้กับใครจริงๆหรอก

จอมเวท (Wizards) ชอบดูพระทำงาน แล้วก็อิจฉาที่พระทั้งสวมเกราะและใช้คาถาได้ ในฐานะของคนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม ก็แน่นอนว่าจอมเวทก็ชอบฮีลด้วยเช่นกัน
oRaMeNo   02-26-2013, 10:17 PM
#12
"พระตายวงแตก" เป็นหนึ่งวลีที่หลายๆ คนคงรู้จักดี

Show Content*นึกภาพตอนจัดปาร์ตี้ล่าบอส*:

แต่งเล่นครับ ทำหน้าเหยาหมิง
This post was last modified: 02-26-2013, 10:19 PM by oRaMeNo.

[Image: Signature-Ralph.png]
[Image: 76561198063802276.png]
Show ContentSpoiler:
Kuruni   03-06-2013, 03:14 PM
#13
สองคลาสเลยครับ นักบวชในที่นี้ถ้าเทียบกับJRPGก็นึกกึงในFFไว้น่ะนะ แต่ให้ตรงกว่าคงเป็นหลวงจีนเส้าหลิน

นักบวช (Monks)
นักบวชมักพูดถึงความสงบแห่งจิตใจ การค้นหาตัวตนอันแท้จริง และการเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ดูเหมือนว่าการเป็นเอกภาพกับสรรพสิ่งนั้นทำได้ง่ายที่สุดโดยการออกไปใช้ชีวิตในภูเขา โกนหัว แล้วก็หัดใช้เท้าเตะทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้ เป็นวิธีการที่บอกอะไรๆได้เยอะแยะ

นักบวชมักแต่งกายสีมอๆ หรือไม่ก็สีส้มเหลืองสดใส พวกเขาเดินไปมาโดยประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน พร่ำภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็อัดทุกอย่างที่ขวางทางให้กระเด็น บางครั้งนักบวชก็จะเอ่ยถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ขณะที่ทำให้คู่ต่อสู้กลายเป็นแยมชั้นดี อย่างเช่น "ไฮ้ย่า!" ดูเหมือนว่าการฉีกร่างคนอื่นด้วยมือเปล่าจะทำให้จิตใจสงบได้อย่างประหลาด เพราะนักบวชส่วนใหญ่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้กำลังประทุษร้าย

ความเห็นจากคลาสอื่นๆ
กวี (Bards) ไม่เข้าใจนักบวชเอาเลยจริงๆ
แต่งกายไร้รสนิยม ไม่ค่อยใช้อาวุธ แล้วยังไม่ชอบเพลงเพราะๆด้วย แต่พวกเขาก็ดูสงบกว่าคนอื่นๆ บางทีถ้านักบวชหัดแต่งเพลงเราอาจได้เพลงแห่งการรู้แจ้งก็ได้

พระ (clerics) เคารพนักบวชแม้จะคิดว่าพวกเขาเลือกหนทางแห่งการปลดปล่อยผิดก็ตาม สิ่งสำคัญนั้นไม่ใช่การทุบหัวคนอื่นเพื่อ"การรู้แจ้ง" แต่เป็นการทุบหัวคนอื่นในนามของพระเจ้าต่างหาก

ขโมย (Thieves) ไม่ค่อยชอบนักบวช เพราะพวกนี้ไม่ยึดติดกับวัตถุทำให้เป็นเป้าหมายที่แย่มาก แต่การมีเพื่อนผู้สามารถถีบประตูพังโดยที่เหงื่อไม่ออกสักหยดนั้นก็ทำให้อะไรๆง่ายขึ้นเยอะ

นักรบ (Warriors) เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างๆนักบวช เพราะท่าจระเข้ฟาดหางนั้นทำให้นักรบที่เข้มแข็งนั้นทำอะไรไม่ได้อยู่นาน นักรบหลายๆคนนั้นอยากรู้ว่านักบวชเอาวิชาต่อสู้มาจากไหน ซึ่งก็ต้องผิดหวังไปตามๆกัน

จอมเวท (Wizards) ทำทุกๆอย่างรวทั้งอ่านใจนักบวช และก็ยังไม่เข้าใจนักบวชอยู่ดี แต่เขาก็รู้ว่านักบวชนั้นเป็นองครักษ์ยามร่ายคาถาชั้นดี



ขโมย (Thieves)
ขโมยนั้นต่างจากคลาสอื่นๆตรงที่พวกเขาเอาของมาจากเหยื่อที่ยังมีชีวิต แทนการเอามาจากศพหรือรังของอะไรก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะตายในอีกไม่นาน มันยุติธรรมกว่าเยอะ (แต่ขโมยก็ไม่ปฏิเสธกองสมบัติในดันเจี้ยนที่ร้างมานานแล้วหรอก ไม่มีทาง พวกเขาก็เพียงแต่หวังว่าจะมีกับดักนิดๆหน่อยๆให้ชีวิตของคนที่เดินนำปาร์ตี้มีรสชาติขึ้นบ้าง) ขโมยก็เหมือนนักรบแต่ไม่โฉ่งฉ่างหรือสู้เก่งเท่า ขโมยก็เหมือนกวีแต่เงียบกว่า ขโมยก็เหมือนพระแต่ไม่เคร่งเท่า ขโมยก็เหมือนนักบวชแต่ไม่ลึกลับเท่า และขโมยก็...เอ่อ...ไม่เหมือนจอมเวทเลยสักนิด นอกจากที่ทั้งคู่ก็เดินตามคนอื่นๆในปาร์ตีอยู่แนวหลัง

ขโมยกับเด็กหัดเดินนั้นใช้ชีวิตด้วยคติเดียวกัน "อะไรก็ตามที่ไม่ได้ตอกตะปูไว้เป็นของฉัน อะไรก็ตามที่ฉันแงะออกมาจากสุสานแห่งปฐมกษัตริย์หลังจากที่ปลดกับดักไปแปดอัน หลบกองทัพโครงกระดูก แล้วก็อายุขัยสั้นลง10ปีเพราะผีของเขา...ก็นับว่าไม่ได้ตอกตะปูไว้" ที่ต่างกันก็แค่ขโมยมีอุปกรณ์มากกว่าแล้วก็มีฝีมือในการหลบเจ้าของมากกว่าด้วย

ขโมยในเมืองใหญ่ๆนั้นมักรวมตัวกันเป็นสมาคม กลุ่มคนคล้ายๆกันที่แข่งกันชิงของในคลังที่การป้องกันหละหลวมแห่งเดียวกัน ขโมยเข้าสมาคมด้วยเหตุผลเดียวกับที่ชาวนาเข้ากองทัพ มันสนุกกว่าตายเยอะเลย มันก็มีข้อดีอยู่นะ สมาคมขโมยหลายๆแห่งนั้นพร้อมทำการค้าที่ถ้าทำที่อื่นจะแพงหูฉี่หรือไม่ก็ผิดกฏหมาย ส่วนใหญ่แล้วก็ทั้งสองอย่าง แล้วที่ทำการสมาคมก็มีห้องลับมากกว่าห้องสาธารณะด้วย คุณพนันได้เลยว่าตู้เสื้อผ้าที่ทางเดินนั้นสามารถเปิดไปห้องสวีตสุดหรูได้ ขอแค่คุณรู้ว่าต้องบิดไม้แขวนเสื้ออันไหนเท่านั้น

การมีขโมยในปาร์ตี้นั้นช่วยคุณจัดการกับกับดักในดันเจี้ยนได้มาก แต่มันไม่ค่อยสะดวกก็ตอนแบ่งของหลังออกมาแล้ว พวกนี้มักเจอของดีๆมากกว่าที่ควรเป็นไปเยอะเลย

ความเห็นจากคลาสอื่นๆ
กวี (Bards) มักเข้ากันได้ดีกับขโมย ตราบใดที่กวีรู้จักหุบปากตอนที่ขโมยพยายามเงียบ ทั้งสองคลาสชอบของเงาๆแวววาวเหมือนกัน และทั้งคู่ก็มักได้อะไรจากการเดินทางไปด้วยกัน กวีได้ความรู้ ขโมยได้อย่างอื่นไปหมด

พระ (clerics) ไม่ชอบการลักขโมย แน่นอน แต่หากเอามาบริจาคให้โบสถ์ ที่มาของเงินนั้นก็พอจะมองข้ามไปได้ ขโมยยังหากับดักเก่ง ซึ่งหมายความว่าพระจะต้องฮีลน้อยลงแล้วใช้คาถาอื่นได้บ้าง

นักบวช (Monks) ไม่ชอบวัตถุนิยม แต่ออกจะชื่นชมความสามารถและฝีมือในการทำให้ตัวเองหายไปในเงามืด คืบคลานสู่เป้าหมายอย่างไร้ซุ่มเสียง

นักรบ (Warriors) ดีใจมากที่ขโมยมีความสามารถแทงข้างหลัง ซึ่งทำให้นักรบสามารถเข้าประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ควรหนีได้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากติดกับดักหรอก

จอมเวท (Wizards) ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกว่าขโมยนั้นไม่จำเป็น ในเมื่อคุณมีคาถาอย่างล่องหนอยู่แล้ว แต่การมีผู้เชี่ยวชาญไว้จัดการกับสถานการณ์ที่คาถารับมือบากนั้นก็เป็นเรื่องดี...อย่างแม่มังกรที่พยายามมาเอาไข่คืนไปนั่นไง
Kuruni   03-14-2015, 02:51 PM
#14
(ขุดครับขุด)

นักรบ (Warrior)

คนบางคนนั้นก็เกิดมาไม่ได้มีฝีมือจริงๆจังๆอะไร แต่จะเป็นคนโง่ยังไง (อย่างเช่น ออร์ค) ก็สามารถฝึกให้เอาของหนักๆตีหัวคนอื่น ของแหลมๆนี่มีไว้แทง แล้วนั่นก็ช่วยให้เลิกจากอาการเสพติดอ็อกซิเจนได้ พวกครูฝึกจะคัดตัวผู้ควรจะเป็นนักรบตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ พวกเขาก็คือเด็กที่ยืนนิ่งมองดูลูกบอลพุ่งใส่หัว คนที่ไม่รู้ว่าตอนปิดตาลงนั้นโลกนี้หายไปไหน แล้วก็คนที่เอาเพื่อนร่วมชั้นมีฉีกแขนขาเพื่อเล่นกับเลือดสีสวย นักรบส่วนใหญ่นั้นมักจะถูกส่งไปโรงเรียนพิเศษในเวลาไม่นานนักเพื่อจะได้เล่นกับเด็กพิเศษด้วยกันและฝึกความอดทนต่อความเจ็บปวดในสภาพที่ควบคุมไว้แล้ว หลังจากสองสามปีแรกแล้วจำนวนนักเรียนที่เสียชีวิตก็จะลดลงอย่างมาก ซึ่งเป็นช่วงที่พวกนักรบได้เรียนรู้ยุทธศาสตร์และเทคนิคการต่อสู้ขึ้นพื้นฐาน ("อย่าโดนโจมตี")

นักรบส่วนใหญ่นั้นมักจะโตไปเป็นทหาร ยามเฝ้าเมือง หรืองานจำเจอื่นๆวึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับการฆ่าสิ่งมีชีวิตสองขาที่ทรงสติปัญญา อ้อ แล้วก็ออร์คด้วย แต่ก็มีนักรบที่ออกไปทำงานอิสระ ฆ่าสิ่งเลวร้ายที่มีสี่ หก หรือแม้แต่แปดขา แล้วก็ออร์คด้วย ข่าวลือเกี่ยวกับของที่หนักกว่า แหลมกว่า แล้วก็สิ่งมีชีวิตที่ต้องพึ่งพาอ็อกซิเจนมากกว่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นักรบเหล่านี้ออกเดินทางตลอด - อันนั้น กับกระเป๋าที่ดูเหมือนจะไม่มีก้นของขโมยซึ่งใส่เงิน อัญมณีที่ดูคุ้นๆ แหวนมีอักษรย่อตัวแรกของคุณปู่ - มันช่างบังเอิญอย่างน่าทึ่งจริงๆเลยนะ เออ นั่นแล้วก็โอกาสที่จะได้เห็นเลือดสีใหม่ๆในโลกกว้างนี้ แถมทุกคนก็ให้คุณเดินนำหน้าด้วย พวกเขาเป็นคนดีจริงๆ

ความเห็นจากคลาสอื่นๆ

ก่อนอื่นเลย ทุกคนชอบคนตัวโตๆที่เดินนำหน้าแล้วก็ฆ่าแหลก โอเค เราอาจจะไม่อยากสังสรรค์กับพวกเขา แต่ทุกปาร์ตี้ต้องมีอยู่สักคนสองคนทั้งนั้น แลวพวกเขาก็ควรจะถึกสุดๆด้วย เพระาถ้าเขาตาย ก็หมายความว่าเรานั่นเองที่ต้องเป็นคนเล่นกับมังกรพลูโตเนียมที่กำลังโมโหกับค่ของมัน

กวี (Bards) ส่วนตัวแล้วคิกว่านักรบนั้นน่ารังเกียจ...แต่พวกเขาเป็นวัสดุของเพลงที่ดีเลยล่ะ แล้วบางครั้งก็เป็นผู้ฟังที่ดีด้วย โดยเฉพาะถ้าเป็นเพลงเกี่ยวกับพวกเขาเอง

พระ (Cleric) หวังว่านักรบจะระวังตัวกว่านี้สักนิดจะได้ไม่ต้องฮีลมาก แต่พระสายสู้นั้นมีอะไรที่คล้ายกับนักรบมากทีเดียว...คือเดินนำหน้าทั้งคู่

นักบวช (Monks) คิดว่านักรบนั้นเอาเกราะออกแล้วก็เห่ยสิ้นดี

ขโมย (Thieves) คิดว่านักรบมีไว้หลอกล่อความสนใจได้ดี ให้นักรบกระทืบเท้าโครมครามส่วนขโมยก็หาจังหวะแทงข้างหลัง...หรือไม่ก็ตรงไปหาสมบัติเลย

จอมเวท (Wizards) มองนักรบเหมือนที่นักรบมองโล่ของตน มันมีไว้รับความเสียหาย มีค่า จำเป็น และพร้อมจะสละได้



จอมเวท (Wizards)

ในที่สุด เหล่าเนิร์ดก็มีโอกาสได้เอาคืน ภาพลักษณ์ของเหล่าเกมเมอร์ผู้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับหนังสือนั้นเข้ากับจอมเวทผู้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับหนังสือได้ดีมากเลยล่ะ ซึ่งนั่นอธิบายความเป็นที่นิยมของคลาสนี้ได้ หรือบางทีอาจจะเป็นความต้องการในส่วนลึกของทุกคนที่อยากใช้ไฟคลอกเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญ(โดยเฉพาะกวี)โดยไม่ถูกตำรวจจับ ไม่ว่ายังไง ถ้าพูดถึงความสะใจเข้าไส้แล้วล่ะก็ไม่มีอะไรเทียบกับการปล่อยคาถาที่ร่ายอย่างสวยงามออกไปบดขยี้คู่ต่อสู้ของคุณได้ นักรบเอาความตายไปขายปลีก ส่วนจอมเวทขายส่งยกชุด พร้อมลดราคาให้ถ้าคุณเอาชุด"บิดตัวไปมาในกองไฟ"ด้วย

สิ่งที่น่าพอใจที่สุดของจอมเวทก็คือการทำของวิเศษออกมาในตอนที่ต้องการได้ (หรือตอนที่คุณต้องการทองเพิ่มสองสามร้อยเหรียญมาจ่ายค่าเช่าห้อง) ดูเหมือนว่าปาร์ตี้นักผจญภัยทุกตี้ในโลกนี้ต้องการโพชันนิดหน่อยกับดาบวิเศษเล่มสองเล่มทั้งนั้น ถ้าคุณไม่ทำก็คงทำให้เหล่านักผจญภัยผิดหวังกันหมด อีกอย่างนึง มันช่วยกำจัดไอเทมต้องสาปโดยเอาไปให้พวกคนที่อายุไม่ยืนพอจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วได้ดีเลยล่ะ

ความเห็นจากคลาสอื่นๆ

กวี (Bards) คิดว่าจอมเวทนั้นพิลึก โลภ แล้วก็ปฏิบัติตัวไม่เป็น นักรบที่ไม่ชอบเพลงของคุณอาจจะทุบคุณด้วยความจริงใจ แต่จอมเวทจะทำให้คุณมีลูกตางอกมาจากสะดือ

พระ (Cleric) กับจอมเวทนั้นมีเหมือนๆกันที่ใช้คาถา แต่นั่นทำให้ทั้งคู่เป็นคู่แข่งกันด้วย พระอาจจะมีคาถามรณะของตนเองแต่ก็รู้ว่าจอมเวทมีมากกว่าและก็อิจฉาด้วย ในอีกแง่หนึ่ง พระเป็นคนร่ายคาถาฮีล และเขาก็ไม่เคยให้จอมเวทลืมเรื่องนี้

นักบวช (Monks) บอกว่า"จอมเวทก็เหมือนพวกเรา เพียงแต่เรียนคาถาแทนการต่อสู้ ฉันก็เป็นจอมเวทได้ถ้าอยากจะเป็น" จอมเวทเพียงแต่ยิ้มเงียบๆ

ขโมย (Thieves) คิดว่าจอมเวทเป็นลูกค้าของวิเศษที่ขโมยมาชั้นดี แย่หน่อยที่การขโมยของจากจอมเวทนั้นออกจะเสี่ยง

นักรบ (Warrior) เป็นศัตรูของจอมเวทซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้เกิดอุปสรรคที่อันตรายที่สุดในวิชาชีพของตน พวกเขารู้ว่าจอมเวทในปาร์ตี้ของตนเองนั้นเป็นของจำเป็นไว้ตอบโต้กับอีกฝ่าย แต่ความไม่ไว้ใจก็ยังคงอยู่ และในตอนที่นักรบกระหย่องกระแหย่งพลางมองหาขาซ้ายของตนเองไปมาหลังการต่อสู้ในขณะที่จอมเวทของปาร์ตี้ยังไร้รอยข่วนแล้วก็คาดหวังว่าจะได้แบ่งสมบัติไปเท่าๆกัน...มันทำให้เกิดความหมางใจได้ไม่น้อยเลยนะ
LuZi   03-14-2015, 09:57 PM
#15
Quote:บางทีถ้านักบวชหัดแต่งเพลงเราอาจได้เพลงแห่งการรู้แจ้งก็ได้

5555555555555555555555555555555555555

สรรพคุณอธิบายโจรนี่แบบว่า เห็นภาพชัดเจนสุดๆเลยแฮะโดยเฉพาะ
Quote:ไอ้ และขโมยก็...เอ่อ...ไม่เหมือนจอมเวทเลยสักนิด นอกจากที่ทั้งคู่ก็เดินตามคนอื่นๆในปาร์ตีอยู่แนวหลัง

แต่คำอธิบายข้อมูลนักรบนี่ผมอ่านแล้วค่อนข้างมึนพอสมควรเลย Orz
ส่วนจอมเวท.......พวกนายนี่มันน่าสงสารจริงๆ



Kuruni   03-15-2015, 10:14 AM
#16
คือ...นักรบมักจะINTต่ำน่ะครับ
jin Away   03-15-2015, 02:38 PM
#17
เพิ่งมีโอกาศได้อ่าน หลังจาก ท่านลูขุดกระทู้มา
ฮามากครับ แต่ล่ะอาชีพ ย้อนแย้งกันเองสุดๆ

https://www.facebook.com/guless.jn สมุดหนังหน้าสำหรับการตามข้อมูลรั่วๆ ที่หื่นบ้างอะไรบ้าง
Kuruni   04-20-2015, 01:45 PM
#18
อันนี้จะฝั่งญี่ปุ่นหรือฝรั่งก็พบเห็นได้บ่อยพอๆกัน แถมเป็นคลาสอมตะที่อยู่ได้ทุกยุคทุกสมัยด้วย



Bartender

ท่านสุภาพบุรุษผู้นี้จะกลายเป็นสหายชั้นดีของเหล่าตัวละครของผู้เล่นด้วยเหตุผลที่เห็นกันอยู่-เขามีเหล้า แต่เมื่อสนิทกันมากขึ้นพวกเขาก็จะรู้ว่าเขายังเป็นแหล่งข้อมูลอันมีค่าอีกด้วย ใครๆก็มาเล่าปัญหาของตนให้บาร์เทนเดอร์ฟังทั้งนั้น มันเป็นหน้าที่ของบาร์เทนเดอร์ที่จะเอาปัญหาเหล่านั้นเก็บใส่แฟ้มแล้วซุกไว้จนกว่าจะมีใครสักคนที่แก้มันได้ก้าวเข้าประตูมา จากนั้นก็เริ่มการต่อรอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ลงเอยที่ค่าธรรมเนียมให้บาร์เทนเดอร์ การผจญภัยเบากับEXPให้เหล่าผู้กล้า แล้วก็คนที่ติดค้างบุญคุณบาร์เทนเดอร์เพิ่มอีกคน บุญคุณนี่แหละคือสินค้าจริงๆของเขา

คุณอาจจะคิดว่าบาร์เทนเดอร์เป็นอาชีพที่เสี่ยงอันตราย เพระาการผจญภัยของเหล่าผู้กล้าบ่อยครั้งที่เริ่มจากการตีกันพอหอมปากหอมคอในบาร์ แต่การตีกันในบาร์โดยทั่วไปแล้วนั้นมักจะจำกัดบริเวณอยู่ในฟากของลูกค้าเท่านั้น ซึ่งเป็นฟากที่เครื่องเรือนทั้งแข็งและสกปรกกว่าหัวของลูกค้า ส่วนบาร์เทนเดอร์นั้นก็มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความสนุกสนาน มันเป็นความบันเทิงเล็กๆน้อยๆที่พวกลูกค้าหวังจะได้เจออยู่แล้ว แล้วเขาก็หาลำไพ่เล็กน้อยจากการรับพนันมวยได้ด้วย การพยายามลากเอาบาร์เทนเดอร์เข้ามาในการต่อสู้นั้นเป็นความผิดพลาดที่น้อยคนจะเคยทำซ้ำสอง ตามกฏสากลนั้นคนที่จะประกอบอาชีพบาร์เทนเดอร์ได้ต้องเป็นนักผจญภัยที่เกษียณแล้วเท่านั้น และการที่จะเป็นนักผจญภัยที่เกษียณแล้วได้ก็ต้องเอาชีวิตให้รอดก่อน...ซึ่งหมายความว่าบาร์เทนเดอร์ผู้กรำประสพการณ์นั้นเคยรับมืออะไรที่เลวร้ายกว่ากวีเมาเหล้า(ยังกะว่าจะมีใครอื่น)มาแล้ว แล้วนั่นมันก่อนที่เขาจะเริ่มเก็บเลเวลของคลาสบาร์เทนเดอร์ด้วยนะ

นอกจากนั้นแล้ว บาร์เทนเดอร์ที่ดีก็จะมีเหล่าลูกค้าผู้ภักดีซึ่งจะไม่ยอมยืนดูผู้อุปถัมภ์ของตนถูกซ้อมหรือแม้แต่ปฏิบัติด้วยอย่างไร้มารยาท ในโรงเหล้าที่ไหนที่มีค่าให้จำชื่อนั้นก็จะมีลูกค้าประจำคอยลุกขึ้นปกป้องคนคุมบาร์ ช่วยให้เขาไม่ต้องออกแรงพิสูจน์ว่าตนยังดูแลตัวเองได้ ก็เป็นธรรมเนียมที่เขารู้สึกขอบใจอยู่

บาร์เทนเดอร์นั้นจะต้องเป็นนักฟังที่ดี สามารถได้ยินสิ่งที่คนผู้หนึ่งพูดจริงๆแทนที่จะเป็นถ้อยคำเปลือกนอก ESPหรือคาถาที่คล้ายๆกันนั้นมีประโยชน์ในแง่นี้มากทีเดียว ความลับที่ดีที่สุดนั้นก็คือความลับที่คุณรู้และคุณก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าคุณรู้ (ลองอ่านดูช้าๆสักสองสามเที่ยว ออกเสียงด้วยก็ได้ แล้วคุณจะเข้าใจว่ามันมีเหตุผล ถ้าไม่เข้าใจจริงๆก็ถามบาร์เทนเดอร์) มีบาร์เทนเดอร์น้อยคน(ซึ่งก็เป็นพวกห่วยๆ)ที่ไม่มีหูตาในแวดวงซุบซิบนินทาอยู่หลายๆที่ - แต่ละคนก็เอาข่าวที่แตกต่างกันมาบอกเขา โดยไม่มีใครรู้ตัวว่าบาร์เทนเดอร์ผู้นั้นได้สังเคราะห์รายงานข่าวทั้งหมดออกมาเป็นภาพของเมือง รัฐ หรือแม้แต่โลก ในแง่มุมของเขาเอง บาร์เทนเดอร์นั้นรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นก่อนทุกคนเสมอ

ความเห็นจากคลาสอื่นๆ

กวี (Bards) รู้สึกชอบใจในพื้นที่แสดงที่ได้รับจากบาร์เทนเดอร์อยู่บ่อยๆมาก - เกือบจะพอๆกับเหล้าฟรีที่เขาได้จากคนอื่นๆทุกคน (มีทฤษฏีอยู่ว่า กวีที่กำลังดื่มเหล้านั้นก็คือกวีที่ตอนนั้นไม่ได้ร้องเพลง ซึ่งเป็นทฤษฏีที่มีผู้สนับสนุนอยู่มาก)

พระ (Clerics) ชอบเหล้าดีๆเหมือนกับทุกคน และพระของเทพแห่งการค้าหรือกสิกรรมก็พอใจการทำงานของบาร์เทนเดอร์อย่างมากด้วย พวกเขาก็แค่หวังว่าจะไม่ถูกเรียกให้ไปฮีลพวกที่ตีกันในบาร์บ่อยนัก...

นักบวช (Monks) ไม่ค่อยได้เข้าบาร์ แต่บางครั้งตอนที่เดินผ่านไปมาเขาก็ได้มีโอกาสได้ชื่นชมความเรียบง่ายอันสวยงามที่บาร์เทนเดอร์โยนลูกค้าซึ่งประพฤติตัวไม่ดีออกมาทางหน้าต่าง หน้าต่างชั้นสอง

ขโมย (Thieves) คิดว่าบาร์เทนเดอร์ขี้เหนียวกับเรื่อง"กำไร"มากไปและควรจะพอใจให้มากกว่านี้ที่ได้รับใช้มนุษย์ชาติ - ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงการจ่ายเหล้า ถึงอย่างนั้น เวลาที่ขโมยอย่างเห็นใครโดนเล่นงานจนจมดินก็จะไปคุยกับบาร์เทนเดอร์ก่อนคนอื่นๆ

นักรบ (Warriors) เอาเหล้ามาอีก!

จอมเวท (Wizards) อยากได้เหล้าอีกเหมือนกัน และในฐานะผู้ที่ถือเป็นมันสมองของปาร์ตี้ส่วนใหญ่จึงพอใจมากที่มีสถานที่ที่ช่วยในการหาข้อมูล ลูกจ้าง แล้วก็เด็...หมายถึงข้อมูลน่ะ
This post was last modified: 04-20-2015, 01:46 PM by Kuruni.
Kuruni   12-22-2015, 05:03 PM
#19
แฟนตาซีบางเราใกล้กับฝั่งJRPGมากกว่า ซึ่งความนิยมของคนแคระนั้นเมื่อเทียบกับเอลฟ์และออร์คแลวนับว่าแพ้หลุดรุ่ย แต่จริงๆแล้วฝรั่งก็มีที่ไม่ค่อยลงรอยกันคือคนแคระหญิง ในประเด็นที่ว่าคนแคระหญิงมีเคราหรือเปล่า ถ้าอิงตามอีตาโทลคีนที่เป็นต้นฉบับของแฟนตาซีตะวันตกล่ะก็ คนแคระหญิงจะมีเคราแบบเคราแพะบางๆ ซึ่งดูเหมือนว่าสำหรับศิลปินส่วนใหญ่แล้วยังไงมันก็ดูไม่ดีเลยวาดแบบไม่มีเครากันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงยังไงคนแคระหญิงก็จะออกล่ำๆหรือไม่ก็เจ้าเนื้อ คือดูเป็นคุณป้าอ้วนเตี้ยมากกว่าเด็ก ส่วนฟากJRPGถ้ามีคนแคระหญิงออกมาก็มักเป็นโลลิไปเลย

ออกแขกแล้วก็เข้าเรื่อง ในนี้มีคำแนะนำสำหรับใครที่อยากเขียนตัวละครคนแคระที่"สมจริง"ด้วยนะ

คนแคระ (dwarves)

พวกเผ่าอื่นๆคิดว่าพวกเขาเข้าใจคนแคระ พวกเขาไม่รู้เลยว่าจิตวิญญาณของคนแคระนั้นถูกซุกซ่อนไว้จากผู้อื่น (ไม่ต้องพูดถึงตัวพวกเขาเองเลย ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุณโกยเอาสมองคนแคระออกมาแล้วใส่เศษหินสักสองกำมือลงไปแทนก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่) ถึงกระนั้นคนแคระบางคนก็ออกมาจากภูเขาและเปิดใจต่อผู้อื่น พวกคนแคระนั้นระแวงง่ายและใช้เวลามากในการมอบมิตรภาพให้ แต่เมื่อคุณได้มิตรภาพนั้นมาแล้วมันก็ทนทานเหมือนกับก้อนหินที่พวกคนแคระคอยพูดถึงอยู่เรื่อยนั่นแหละ สังคมของคนแคระนั้นไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยแนปลงแล้วทั้งสังคมก็จะมุ่งไปยังทิศทางใหม่นั้น มันไม่ใช่ว่าคนแคระไม่มีจินตนาการหรอกนะ...เพียงแต่ว่าจินตนาการทั้งหมดนั้นมุ่งไปที่ทางเดียวกันหมดพร้อมๆกัน เชื่อกันว่าคนแคระมีอายุขัยประมาณ 250 ปี แต่ก็อย่างที่เอลฟ์หลายๆคนเคยว่าไว้นั่นแหละ "นั่นเขาเรียกว่าใช้ชีวิตเรอะ?"

คนแคระนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างที่คสรได้รับเกี่ยวกับงานช่างเหล็กช่างหิน อาวุธและชุดเกราะดีๆมากมายทั้งที่เป็นของธรรมดาและของวิเศษนั้นมาจากโรงตีเหล็กของคนแคระ พวกเขาไม่ค่อยเก่งเรื่องเกือกม้า เหล็กกันฟืนเตาผิง แล้วก็ประตูเหล็กดัด แต่นั่นก็น่าจะเป็นเพราะว่าพวกเขายังคิดหาวิธีใช้มันฆ่าใครไม่ออกน่ะนะ อัญมณีนั้นแข็งแล้วก็มักมีเหลี่ยมยื่นออกมาแปลกๆด้วย ซึ่งทำให้มัใช้เป็นกระสุนสลิงได้ดีทีเดียว ไอ้เรื่องที่ว่ามณีพวกนี้จะมีค่าอะไรนั้นไว้ให้เผ่าอื่นค้นพบกันเองเถอะ

คนแคระที่เป็นนักผจญภัยนั้นมักใช้ชีวิตในวิถีแห่งนักรบ ความสนใจต่ออาวุธและงานช่างนั้นทำให้พวกเขามีร่างกายท่อนบนที่ทรงพลังเหมาะแก่การจามขวานใส่เป้าหมาย คนแคระยังมีกวีชั้นดีอยู่มากทีเดียว เสียงร้องประสานจากเมืองคนแคระในเวลาทำงานนั้นเป็นสิ่งที่ผู้มิใช่คนแคระไม่กี่คนที่เคยได้ยินจะถูกหลอกหลอนไปอย่างไม่มีวันลืม (พวกคนแคระบอกว่าชอบมัน เผ่าอื่นๆขอฟังเสียงผีในนรกคร่ำครวญดีกว่า) พระคนแคระนั้นมักอยู่ในเมืองของตนแต่ก็มีที่ออกเดินทางด้วยตนเองเพื่อผจญภัยบ้าง จอมเวทนั้นเป็นสิ่งที่พวกคนแคระแทบไม่เคยได้ยินกัน จริงๆแล้วจอมเวทคนแคระนั้นเป็นพวกที่มักจะออกผจญภัยมากกว่าอยู่เฉยๆ เพราะยังไงงานการของพวกเขาก็ออกจะนอกคอกอยู่แล้ว (การใช้คาถามือเพลิงจุดไฟในโรงเหล้กนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม...) การลักขโมยนั้นเป็นเหมือนคำสาปแช่งต่อตัวละครคนแคระ และเหล่าคนแคระที่พยายามใช้ชีวิตแบบจารชนนี้ก็มักจะไม่ค่อยเก่งสักเท่าไหร่ - หลักแนวคิดของคนแคระนั้นมุ่งไปที่การลุยฝ่าปัญหาออกไป ไม่ใช่การหลบหลีกหรือลอบเข้าหา

บุคลิกของคนแคระ

คุณชอบทอง เหล้า ขวาน แล้วก็การใช้ขวานจามสิ่งของ คุณเกลียดออร์ค เอลฟ์ มังกร เอลฟ์ แล้วก็นอกบ้าน - โดยเฉพาะเวลาที่มีเอลฟ์อยู่ข้างนอกนั่น แล้วมันก็ต้องมีเอลฟ์อยู่ข้างนอกนั่นทุกทีสิน่า คุณรู้ดีที่สุดเรื่องโลหะ ฉะนั้นจึงเรียกร้องเอาทองทั้งหมดจากกองสมบัติของปาร์ตี้ ถ้าไม่มีเลยก็โทษว่าขโมยเป็นคนเอาไป (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขโมยเป็นเอลฟ์จะดีมาก แต่ถ้าไม่ใช่ คุณก็ลองโทษว่าเอลฟ์เป็นขโมยแทนก็ได้)

ฆ่าออร์ค ฆ่าออร์คผู้ชาย ออร์คหญิง แล้วก็ออร์คทารก ฆ่าพวกมันเวลาที่พวกมันสู้ ฆ่าพวกมันเวลาที่พวกมันยอมแพ้ ฆ่าพวกมันในตอนที่พวกมันนอนหลับ ถ้าในโอกาสใดที่พวกพ้องของคุณคนหนึ่งปล่อยออร์คมีชีวิตรอดไป (ก็คงเป็นไอ้เอลฟ์เวรนั่นอีกน่ะแหละ) ก็หาข้อแก้ตัวแต่เนิ่นๆแล้วฆ่ามันซะ จำไว้ว่าการทรมานนั้น - แหม ใช้คำหยาบคายจัง เรียกมันให้สุภาพกว่านี้หน่อยดีกว่านะ - การเกลี้ยกล่อมนั้นทำให้พวกออร์คพูดง่ายขึ้น แน่นอนว่าคุณไม่อยากจะให้มันได้ไปเล่าเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนๆฟังด้วยสำนวนที่ไร้ซึ่งความสละสลวย (เช่น "คนแคระเป็นคนทำ!") จากนั้นคุณก็เลยต้องฆ่ามันซะ แล้วก็โทษว่าเป็นฝีมือของเอล์ฟ

การฆ่าเอลฟ์นั้นเป็นสิ่งที่สังคมสุภาพชนไม่พอใจ โดยเฉพาะในบรรดาพวกเอลฟ์เอง นั่นเป็นเหตุผลที่ควรรอให้มันอยู่คนเดียว เพราะพวกมันอายุยืนมากการลดจำนวนประชากรเป็นระยะจึงเป็นเรื่องดีน่ะนะ แน่นอนว่าพวกเอลฟ์ก็คิดกับคนแคระแบบเดียวกัน แล้วไอ้พวกบัดซบนั่นก็มีธนูด้วย ฉะนั้นจงระวังตัวไว้ รอจนกว่าที่คุณจะมีโอกาสกุมคอผอมๆนั่น...แล้วก็บีบซะ

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เผ่าอื่นๆมักจะคิดว่าความสูงที่เกินพอดีของพวกนั้นทำให้พวกมันหัวเราะเยาะสัดส่วนที่พอดีของคุณได้ นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะเอาโนมกับฮาล์ฟลิงเป็นพวก ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากทีเดียวในการให้เดินนำหน้าไปโดนกับดัก คำว่า"เตี้ย" "เล็ก" "น้อย" อะไรทำนองนั้นเป็นเหตุผลที่ดีในการเริ่มโต้เถียงเพราะถูกดูหมิ่น เช่นเดียวกับคำว่า "สูง" "ใหญ่" และแม้แต่"ขนาดผู้ใหญ่"

คนแคระหญิงไม่ใช่เรื่องที่เผ่าอื่นๆจะมายุ่ง พวกมันมีผู้หญิงของตัวเองไว้ให้กดขี่แล้ว

ซดเหล้า ถ้าคุณไม่ใช้ถังเป็นหน่วยตวงเวลาดื่มคุณก็ไม่มีค่าพอจะเรียกตัวเองเป็นคนแคระ ร้องเพลงดังๆ ช่างหัวคีย์ มองดูกวีทำหน้าเบ้ ร้องซ้ำ

เล่าเรื่องราว เรื่องราวที่ดีที่สุดนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำสิ่งของ หรือครอบครัวที่ใหญ่โตของคุณ พวกที่ไม่ใช่คนแคระมักจะทึ่งถึงความลึกล้ำและหลากหลายของเรื่องราวที่คนแคระบอกเล่าจากหัวข้อเหล่านั้น สิ่งของที่ครอบครัวคุณทำ ครอบครัวของคนแคระที่ทำบางสิ่ง สิ่งของที่คุณทำให้ครอบครัวของคุณ ครอบครัวของคนแคระที่ทำบางสิ่ง...อ้าว อันที่แล้วซ้ำนี่นา เอาเถอะ ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องที่ดีนี่นะ ถ้ามีคนแคระคนอื่นเล่าเรื่องก็ฟังอย่างตั้งใจ ตามมารยาทที่ดีนั้นเมื่อเขาเล่าจบคุณก็ควรจะขอให้เขาเล่าใหม่แต่ต้น เพื่อที่คุณจะได้เอามันไปเล่าเองได้ พวกเพื่อนๆที่ไม่ใช่คนแคระจะขอบใจคุณเองถ้าคุณเล่ามันบ่อยพอ

ถ้าคุณเห็นเครื่องมือถูกปฏิบัติด้วยอย่างเลวร้ายก็จงสั่งสอนเจ้าของถึงการดูแลอย่างถูกวิธี ทำการสาธิตด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็เดินจากไปพร้อมกับสิ่งที่ใช้สาธิตเพื่อที่คุณจะได้แน่ใจว่าว่ามันจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมต่อไปในอนาคต เกราะเนี่ยเป็นปัญหามากเลยเพราะว่าถ้ามันถูกใช้งานแล้วมันก็จะดูไม่ดีขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วมากเลยล่ะ

ถ้ามีคนแคระคนอื่นอยู่ในปาร์ตี้ก็ใเวลาเป็นชั่วโมงๆเถียงกันด้วยแบบสุดเสียงเรื่องการลดขนาดอาวุธ งานตีเกราะ และอะไรทำนองนั้น คุณต้องทำให้แน่ใจว่าทุกคนรู้ว่าคุณคือผู้มีอำนาจเหนือกว่าในที่นี้ อย่าไปสนใจคำบ่น พวกนักเรียนบ่นเสมอเวลาเข้าคาบเรียน

สุดท้ายนี้ อย่ายอมค้างคืนใต้ท้องฟ้าเด็ดขาด ถ้าเหล่าเทพเจ้าประสงค์ให้ผู้คนนอนกันกลางแจ้งแล้ว พวกเขาก็จะไม่สร้างสภาพอากาศขึ้นมาหรอก

ความเห็นจากเผ่าอื่นๆ...

มนุษย์ ประทับใจที่คนแคระทุ่มเทให้กับงานและไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะทำเสร็จหรือไม่ก็ตายไปข้าง พวกเขายิ่งประทับใจยิ่งกว่ากับคุณภาพและจำนวนของอาวุธที่ออกมาจากภูเขา มนุษย์มักจะคิดว่าตนเข้าใจวิถีชีวิตของคนแคระดีและพวกเขาก็มีอะไรคล้ายกับคนแคระอยู่มากทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าผิดถนัด

เอลฟ์ คิดว่าคนแคระเหมือนกับก้อนหินที่คุ้มหัวพวกนั้นอยู่มากไปหน่อย แล้วรสนิยมกับมารยาทก็แบนพอๆกับทั่ง พวกเขายอมรับว่าอาวุธของคนแคระนั้นไร้เทียมทานจริง มัจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายนั้นขึ้นอยู่กับว่าคนแคระใช้อาวุธนั่นตัดหัวออร์คสักสองสามโหลหรือว่าใช้สลักว่า"เกิร์กมาเยือน"บนมหาพฤกษาในป่ากันแน่

โนม มองคนแคระเป็นข้อเตือนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่มีอารมณ์ขัน พวกเขาเคารพความสามารถของคนแคระ แต่คิดว่าคนแคระจะมีความสุขกว่านี้ถ้าออกมาปิกนิกกลางแดดวันละครั้งหรืออะไรประมาณนั้น แล้วก็อาจจะโกนหนวดด้วย โนมไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคนแคระถึงไม่สนใจอัญมณี...อัญมณีอันสวยงาม

ฮาล์ฟลิง ยังพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมคนอื่นๆถึงคิดว่าคนแคระเตี้ย พวกเขาเคารพความรักที่คนแคระมีต่อเหล้า แต่ก็หวังว่าสักวันคนแคระจะรู้จักกินอะไรที่เป็นอาหารจริงๆแทนไส้กรอกที่ดึงออกมาจากองไฟกลางค่ายโดยที่ยังลุกเป็นไฟอยู่ครึ่งนึง ฮาล์ฟลิงชอบอัญมณีของคนแคระมาก และมักจะคิดว่ามันจะดูดีกว่านั้นเยอะถ้าไปอยู่กับสาวน้อยฮาล์ฟลิงแทนป้าคนแคระขนดกที่สวมมันอยู่

ออร์ค คิดว่าคนแคระเหนียวและจืด เครานั้นใช้ขัดฟันและถักเป็นเชือกได้ดี
Mysticphoenix   12-22-2015, 05:11 PM
#20
ชอบคนแคระใน Dragon Age มาก เป็นพวกที่ต้นทานเวทมนตร์ได้ และมีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง นับถืออะไรเป็นของตัวเอง เมืองใต้ดินก็สวยมาก

[Image: webboard%20signature1_zpskhtut2jg.png]
การทำอาหารที่อร่อยที่สุด และเดือดร้อนชาวบ้านมากที่สุด กำลังจะเริ่มขึ้น
Pages (2):    1 2
  
Users browsing this thread: 6 Guest(s)
Powered By MyBB, © 2002-2024 MyBB Group.
Made with by Curves UI.